บุ๋ม ลุยจี้ ก.ศึกษาฯ เปลี่ยนแปลงระบบตรวจสอบ ดดีข่มขืนนร. ชี้เพื่อนครูซ้ำเติมเด็ก

วันที่ 16 พ.ค. ที่โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ดอนเมือง ดร.บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ลงพื้นที่มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องฟอกอากาศ ให้กับ รพ.ทหารอากาศ เพื่อประโยชน์สำหรับเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยที่มาใช้บริการ จากนั้นให้สัมภาษณ์ ถึงความคืบหน้าคดีครูข่มขืนนักเรียน ในฐานะหนึ่งในคณะกรรมาธิการเปลี่ยนแปลงกฎหมายข่มขืน พร้อมยื่นเรื่องให้กระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนแปลงระบบตรวจสอบ หลังพบเพื่อนครูเข้าข้างกันเองและยังซ้ำเติมเด็ก พร้อมยืนหยัดปกป้องเด็กนักเรียนอย่างเต็มที่

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

โดย ดร.บุ๋ม เผยว่า “วันนี้บุ๋มทำรายการส่งมอบเครื่องฟอกอากาศประจุลบ ไปมาแล้ว 4 รพ. กับ 3 จังหวัด ซึ่งจริงๆ เป็นการส่งมอบเครื่องฟอกอากาศประจุลบทั้งหมด 100 เครื่อง 25 รพ. ทั่วประเทศ รวมทั้งหมด 1 ล้าน 5 แสนบาท ตอนนี้โควิดใกล้จะลดลงแล้ว แต่เรายังไม่ได้ปลดล็อกดาวน์ ถ้ามีการปลดล็อกดาวน์จะมีเรื่องของ Second Wave นั่นคือจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น เราจะทำอย่างไรให้รพ.ต่างๆมีความปลอดภัย เครื่องฟอกอากาศนี้จะช่วยในส่วนของการสแกน ฆ่าเชื้อตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าเลย ซึ่งบุ๋มเองก็ยังแจกชุด PPE และส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆอยู่ และในส่วนตรงนี้จะช่วยเซฟชีวิตคุณหมอได้มากขึ้น เป็นเครื่องที่อัดพลังงานประจุลบอย่างเต็มที่ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสตั้งแต่ทางเข้าประตูห้องโถงมาเลยค่ะ”

รวบรวมมาจากไหนบ้าง?
“จริงๆแล้วจะมีหลายบริษัทที่เห็นการทำงานขององค์กรทำความดีที่จริงจัง และให้ทางเราเป็นคนคัดเลือกว่าจะมีรพ.ไหนบ้าง เพราะเราบริจาคเอง 500 กว่ารพ.ทั่วประเทศ และรพ.สต. หน่วยงานกู้ภัยต่างๆ จนกระทั่งเขาเห็นสิ่งที่เรา เราทำจริง เพราะเรารู้จำนวนจริง เราก็ทำงานควบคู่เคียงข้างไปกับกระทรวงสาธารณสุข ถ้าคุณหมอยังสู้ เราก็สู้ต่อ จนกระทั่งหลายๆบริษัทจัดเครื่องนี้มาให้บุ๋มช่วยจัดการลงพื้นที่ส่งมอบให้รพ. เพราะในส่วนของดาราที่ลงพื้นที่จริงๆ มีไม่กี่คน”

ช่วงนี้ทำงานหนัก?
“ใช่ค่ะ ตั้งแต่มีโควิดมายังไม่ได้พักค่ะ ก็ทำงานหนักอยู่ นอนน้อยมาก ถามว่ายังสู้ไหม ก็สู้อยู่เพราะว่ามันถอยไม่ได้ ตราบใดที่คุณหมอที่ยังเป็นหน้าด่านเขายังสู้เราก็สู้ต่อค่ะ”

“ตอนนี้หลังจากเป็นในส่วนชุด PPE แล้ว เราก็ยังมีสต็อกสองที่รอ Second Wave ต้องดูแลคุณหมอตรงส่วนนี้ แล้วเราก็จะมาในภาคประชาชน ข้าวสารอาหารแห้งการกินอยู่เป็นยังไง แม่เลี้ยงเดี่ยวเป็นยังไงบ้าง นมผงพอมั้ย ซึ่งคนขอความช่วยเหลือวันๆหนึ่งเป็นพันข้อความที่เข้ามา บางจังหวัดก็เรียกร้องให้บุ๋มไป แต่บุ๋มไม่สามารถข้ามจังหวัดไปได้ เราก็ต้องหาหน่วยงานสาขาขององค์กรทำความดีจัดแจง เราก็เริ่มทำเป็นตัวอย่างที่หน้าบ้านบุ๋มเอง ตรงรามอินทรา หน้าบ้านบุ๋มจะมีการแจกข้าว หลังๆก็จะมีร้านอาหารเอาอาหารมาให้บุ๋มแจกคนอื่นๆด้วย เพราะบุ๋มอยากจะเป็นต้นแบบในการให้ทุกๆซอยทุกชุมชน ค่อยๆทำแบบนี้เพื่อให้ทุกชุมชนประคองกันไปจนกระทั่งผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้”

ค่อนข้างกลัว Second Wave?
“Second Wave อยากจะบอกทุกคนว่ามันเกิดขึ้นแน่นอนหลังจากที่มีการเปิดประเทศ หลายคนเรียกร้องให้เปิดประเทศเถอะ แต่ถ้าเกิดเปิดประเทศแล้ว ที่ผ่านมาคุณหมอยังไม่ได้พักเลย ตั้งแต่มีโควิดมาคุณหมอยังไม่ได้พัก แต่พวกเรายังมีได้อยู่บ้านแบบเบื่อหน่ายกันบ้าง เพิ่งมามีช่วงนี้เท่านั้นเองที่งานเบาขึ้น แต่ถ้ามี Second Wave มันจะเหมือนอีกหลายๆประเทศ จำนวนคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาเป็นพันคน ทำใจไว้ก่อนเลย คนไทยทุกคนต้องอยู่อย่างมีสติ ล้างมือบ่อยๆ รักษาสุขภาพตัวเอง พยายามอย่าประมาทเด็ดขาด ถ้าเกิดวันไหนที่ปลดล็อกดาวน์ ไม่ใช่พอห้างเปิดแล้วแห่กันไป”

“เรื่องเปิดห้างคือยังไงก็ต้องเปิดค่ะ เพราะคนยังต้องกินต้องใช้ ธุรกิจยังต้องเดินต่อ เราก็ต้องปรับตัวและเรียนรู้ว่าเราจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ล้างมือกันบ่อยขึ้น”

ถามถึงเรื่องรับ น้องคริสมาสต์ เป็นบุตรบุญธรรม?
“สำหรับเรื่องของน้องคริสมาต์ เริ่มแรกมาจากข้อความของคุณพ่อเขาที่ส่งเข้ามาทางองค์กรทำความดี แล้วบุ๋มเองก็ติดตามเคสนี้มาตั้งแต่แรกว่าพี่พยาบาลท่านนี้จะได้รับการเยียวยาชดเชยอย่างไรบ้าง พอได้คุยกับคุณพ่อไป อาจจะด้วยเกณฑ์การได้รับการเยียวยาต้องเป็นหมอพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ที่ติดโควิด แต่บังเอิญพยาบาลท่านนี้มาจากร่างกายที่ป่วยอยู่แล้ว พอช่วงโควิดก็เลยเป็นงานที่หนัก สมมติว่าถ้ามีคนไข้ที่มีความเสี่ยงแต่โกหกหมอหนึ่งคนเดินเข้าไปปุ๊บแล้วดันเป็นโควิด นั่นหมายถึงหมอและพยาบาลทุกคนที่เจอคนไข้คนนั้นต้องถูกกักตัว 14 วัน เลยทำให้หมอและพยาบาลที่เหลือทำงานหนักหลายเท่า นั่นแสดงว่าถ้าไม่มีโควิดคุณพี่พยาบาลก็ยังดูแลลูกได้อยู่ แต่กลับกลายเป็นว่าต้องเสียชีวิตไปเพราะทำงาน 3 กะติดกัน ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น บุ๋มเชื่อว่ารพ.เองก็เสียใจที่สูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ไป ทุกคนเสียใจกันหมด เพียงแต่ว่าบังเอิญเขาไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ พอเขาไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ก็อาจจะไม่ได้รับเงินเยียวยาตรงนี้”

“ในส่วนของเราเอง เห็นว่าคุณพ่อเขามีเงินเดือนแค่ 12,000 บาท ที่ต้องดูแลทั้งตัวเอง ทั้งคุณยาย และส่วนของน้องต้องย้ายจากโรงเรียนที่คุณแม่เคยส่งเรียนให้กลับไปอยู่อีกอำเภอหนึ่งที่อาจจะไม่ได้ใช้ค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่อนาคตของน้องจะไปยังไง แม่ก็ไม่อยู่แล้ว บุ๋มก็เลยคุยกับคุณพ่อเขาตรงๆว่า ขอรับน้องเป็นลูกบุญธรรมเหมือนกับน้องๆอีกหลายคนที่บุ๋มดูแล ก็จะดูแลในเรื่องของค่าใช้จ่าย ค่าเทอม จะส่งให้เรียนจนจบปริญญาตรี พอได้ยินเสียงที่บุ๋มบอก คุณพ่อเขาก็ร้องไห้ แล้วก็พูดคำว่าขอบคุณครับ และส่งรูปลูกมาให้เราได้ชื่นใจว่าอย่างน้อยเด็กคนนี้มีอนาคตต่อแล้วค่ะ ก็เป็นลูกสาวคนใหม่ของบุ๋มนะคะ ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัว จะมีพี่ๆหลายคนบอกว่าเดี๋ยวจะส่งชุด 4 ขวบสวยๆมาให้ และของเล่นต่างๆ ก็จะกลายเป็นลูกสาวในวงการคนหนึ่งที่พวกเราช่วยกันเลี้ยง คนเอ็นดูน้องค่อนข้างเยอะ เพราะว่าเขาเป็นเด็กที่น่ารักค่ะ สดใส เขาบอกแม่บุ๋มสวย อยู่เป็นนะลูก(หัวเราะ)”

จะไปเจอน้องเมื่อไหร่?
“ถ้าจะไปเจอก็คงอีกสักพักหนึ่งค่ะ เพราะบุ๋มก็กลัวดราม่าเรื่องโควิด จริงๆใจเราอยากจะไปหาอยู่แล้วแหละ แต่เราเป็นคนที่ลงพื้นที่ทุกๆวัน เราคือคนที่เสี่ยงแล้วน้องเขายังเด็กอยู่ ยังไงถ้าหมดโควิดดิฉันไปหาแน่นอน ไม่ต้องห่วง”

ถามถึงความคืบหน้าคดีครูข่มขืนนักเรียน ?
“ดิฉันโมโห เป็นใครใครก็โมโห เราส่งลูกไปโรงเรียน เราไว้ใจว่าโรงเรียนจะดูแลลูกเราเป็นอย่างดี แต่กลับกลายเป็นว่าครูทำเอง ไม่ว่าครูจะบอกว่าเด็กสมยอมก็ตาม คุณเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ คุณก็ต้องรู้ตัวและยับยั้งชั่งใจตัวเองว่าคุณไม่ควรที่จะไปทำลูกเขา ต่อให้เด็กเขาอาจจะรู้สึกเคลิ้ม หรือรู้สึกชื่นชมในความเก่งในการเจอพบปะกันบ่อย แต่คุณก็ไม่สมควรไปทำ หรือล่วงละเมิดทำอนาจารข่มขืนอะไรทั้งสิ้น คนที่เป็นครูคุณยิ่งต้องคิดเป็น”

“แล้วที่โมโหกับตรรกะของเพื่อนเขาที่ออกมาเขียนสนับสนุน คนเรามีทำผิดได้แต่คุณก็ควรไปให้กำลังใจส่วนตัว ไม่ใช่มานั่งให้กำลังใจออกสื่อกันแบบนี้ ตรรกะป่วยมาก คุณจะมาหาเหตุผลอะไร บอกว่าถ้าไม่อยากให้ลูกโดนข่มขืน ก็ไม่ต้องส่งลูกไปโรงเรียน จะบ้าหรือเปล่า มันไม่ใช่เหตุผล คนแบบนี้ต้องตรวจสุขภาพจิตค่ะ เราก็เลยไม่ยอมในจุดนี้”

ณ วันนี้บุ๋มอยู่ในคณะกรรมาธิการเปลี่ยนแปลงกฎหมายข่มขืนอยู่แล้ว คณะกรรมการทุกคนกระตือรือร้นเรื่องนี้มาก เพราะเราเองก็สู้เรื่องพวกนี้มานาน จากสมัยก่อนที่ทุกคนจำได้ มีหลายคนเขียนข้อความมาว่า ถ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรจะล่ารายชื่ออะไรให้บอก ไม่ต้องล่าแล้วค่ะ บุ๋มอยู่ในคณะกรรมาธิการเรียบร้อยแล้ว มันผ่านจุดนั้นเรียบร้อย เราเข้าไปอยู่ในตรงนั้นได้แล้ว ดังนั้นสามารถเสนอชื่อ หรือยื่นเรื่องฟ้องร้องอะไรทุกอย่าง ขอความช่วยเหลือในการตรวจสอบได้เลยค่ะ ก็มีการตรวจสอบจริงๆ คุณครูคนนั้นก็ต้องเขียนรายงานจริงๆ ไม่ได้เป็นเพราะบุ๋มอยู่ในคณะกรรมการแต่ใจส่วนตัวเลยนะ อยากให้เปลี่ยนแปลงระบบการตรวจสอบในกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องพวกนี้ เพราะว่ามันมีหลายปัญหาที่เกิดขึ้น และครูช่วยครู บุ๋มมีหลายเคสมากที่ลูกศิษย์กลับไปที่โรงเรียนแล้วเพื่อนครูที่กระทำความผิดยืนชี้หน้าด่าเด็กว่า เพราะแกทำให้เพื่อนฉันโดนย้าย แล้วเด็กไม่สามารถเรียนอยู่ที่นั่นต่อได้ ไม่ใช่เคสเดียวที่เกิดขึ้น เจอมาหลายเคส แล้วบุ๋มต้องย้ายเด็กเรียน อยากให้บอกระบุมั้ยล่ะว่าเด็กโรงเรียนไหนบ้าง ย้ายไปจังหวัดไหนบ้าง ไม่สามารถอยู่ที่เดิมได้เลย เพราะเพื่อนครูเข้าข้างกันเอง ไม่สนว่าอะไรคือผิดคือถูก เคสก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้เป็นข่าว เพราะบุ๋มไม่ได้อยากให้ทุกเคสข่มขืนเป็นข่าวนะ เพราะมันไม่เป็นผลดีกับผู้เสียหายเลย ผู้หญิงที่โดนทำร้ายเขาคือผู้เสียหาย เขาต้องมีอนาคตใหม่ที่ดีได้ ไม่ใช่โดนซ้ำเติม แต่กลับกลายเป็นว่าพอไปถึงรร.ครูซ้ำเติมอีก ดังนั้น นั่นคือสิ่งที่บุ๋มเองอยากจะเปลี่ยนแปลงตรงนี้ ก็เข้าไปคุยกัน แต่บังเอิญมันติดโควิดซะก่อน กระทรวงศึกษามีระบบการตรวจสอบยังไง เขาบอกว่าก็ใช้ผู้ใหญ่ในพื้นที่ในการตรวจสอบต้องมี 5 คน ขึ้นไป มันมีจริงแต่พวกนั้นมันเตะบอลด้วยกัน จะกระทรวงหน่วยงานไหนในสังคมยิ่งต่างจังหวัดแคบๆมันก็ยิ่งอยู่กันแค่นั้น มันต้องเปลี่ยนแปลงได้แล้ว”

ไม่กลัวครูเกลียด?
“ถ้าครูดีจริงไม่เกลียดบุ๋มหรอก แต่ถ้าคิดชั่วทำชั่วแล้วเกลียดบุ๋ม ช่างเถอะ บุ๋มไม่แคร์คนพวกนั้นหรอก”

ยืนหยัดเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเด็กนักเรียนให้ถึงที่สุด?
“เราต้องยืนปกป้อง แล้วบุ๋มมีจุดยืนในการปกป้องผู้หญิงด้วยกันมานานมากแล้ว ณ ปัจจุบันไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิง เด็กผู้ชายก็โดนด้วยค่ะ ดังนั้นเราก็ต้องเดินหน้าต่อค่ะ”

ในฐานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการความเป็นไปได้ในการเพิ่มบทลงโทษ?
“ด้วยตัวบทลงโทษตอนนี้กำลังลงรายละเอียดกันว่าจะเป็นอย่างไร ในส่วนของตัวกฎหมายข่มขืนล่าสุดที่ออกมาต้องมีการสอดใส่ใช้อวัยวะเพศ แต่ปรากฎว่ามีเคสหนึ่งที่เป็นครู ขอโทษนะคะไม่ได้เหยียดหยามเพศ แต่เป็นเคสที่เกิดขึ้นจริง เป็นครูสาวสองบังคับให้เด็กผู้ชายเอาอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไป ก็เลยถามว่ามันคืออนาจารแค่นั้นหรอ ทั้งๆที่มันมีการเข้าไปแล้ว มันคือข่มขืนกระทำชำเราเกิดขึ้นแล้ว มันไม่ใช่แค่อนาจารลูบจับคลำต้อง มันเลยต้องมีการนั่งปรับกันใหม่เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น หมดโควิดก็สู้กันต่อค่ะ แต่ตอนนี้ยังดีที่มีกรุ๊ปไลน์ที่ยังส่งเรื่องกันอยู่และมีพี่ๆหลายคนที่มารวมพลังกันในการยื่นเรื่องที่กระทรวงศึกษาบ้าง แต่ถ้ารวมพลังได้มากกว่านี้เราลุยต่อแน่นอนค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ”

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

ขอบคุณภาพจาก IG : boompanadda

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน