เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 3 ก.ค. ที่ห้องประชุม ชั้น 5 โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทัช ณ ตะกั่วทุ่ง นักร้องและนักแสดงชื่อดัง อายุ 48 ปี พร้อมด้วย นพ.กิตติศักดิ์ ฐานะสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ รพ.เกษมราษฎร์ บางแค ได้แถลงข่าวรายงานความคืบหน้าอาการป่วยของนายรัฐกรณ์ ณ ตะกั่วทุ่ง อายุ 81 ปี บิดาของนักแสดงคนดัง หลังส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจากมีอาการเกร็ง ชักกระตุกจากโรคหลอดเลือดในสมองตีบจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และเข้ารับการรักษาตัวในห้องไอซียู

โดย ทัช กล่าวว่า “ก่อนที่คุณพ่อจะเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นเป็นช่วงเช้าผมนอนอยู่ เพราะเพิ่งกลับจากทำงานเสร็จ จากนั้นคุณแม่ก็มาปลุกเพราะคุณพ่อมีอาการชักเกร็ง ผมก็รีบลงมาดูและพยายามผายปอด แต่หลังจากเกร็งคุณพ่อก็มีอาการช็อก ผมจึงรีบขับรถพาคุณพ่อจากที่บ้านแถวพุทธมณฑลสาย 2 มาที่โรงพยาบาลเกษมราษฏร์ บางแค เดิมทีคุณพ่อมีสภาวะสมองตีบมาก่อนเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งท่านก็รักษาที่โรงพยาบาลศิริราชมาโดยตลอด หลังจากรักษาจนมีอาการดีขึ้นจนกลับอยู่ที่บ้าน ก็เริ่มกายภาพฟื้นฟูตัวเองได้ เริ่มเดินวอล์กเกอร์ได้ และด้วยความที่เราไม่มีความรู้มากในการใช้วอล์กเกอร์ เลยทำให้วอล์กเกอร์ไปขูดกับนิ้วก้อยเท้าข้างซ้ายบวกกับเป็นโรคเบาหวานด้วย จนนิ้วเน่าลามหลุดไปสามนิ้ว ก็รักษาไปตามอาการ

หลังจากนั้นคุณพ่อก็เดินไม่ได้ ผมเลยให้คุณพ่อไปอยู่ที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยเพื่อที่จะมีคนดูแลคุณพ่ออย่างใกล้ชิดเพราะผมต้องทำงานเลยไม่มีเวลาดูแลท่าน จนผ่านมาสองเดือนท่านก็ยังเดินไม่ได้ และนอนติดเตียงตลอด พอคุณพ่อมีอาการดีขึ้น ผมจึงพาท่านมาอยู่ที่บ้าน แล้วท่านก็มีอาการเกร็งชักอย่างที่เป็นล่าสุด ผมเองก็เข้ามาเยี่ยมท่านทุกวันก็กระซิบข้างหูคุณพ่อว่าไม่ต้องห่วงนะคุณหมอดูแลอย่างดี ก็สู้ๆ และวันนี้ก็ลองถอดเครื่องช่วยหายใจออกให้หายใจเองก็คิดว่าน่าจะดีขึ้น แต่ตอนนี้ยังไม่มีสภาวะตอบสนองอะไร อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาด้วย ซึ่งผมก็ต้องขอบคุณกำลังใจจากเพื่อนๆ ผู้ใหญ่ และคนรอบข้าง รวมถึงแฟนคลับทุกคนครับ สำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายผมก็รับผิดชอบทั้งหมดกับน้องอีก 3 คน ซึ่งน้องอยู่ที่ต่างประเทศกำลังจะกลับมาช่วยกันดูแลเรื่องนี้”

ด้าน นพ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า “คนไข้เข้ามารักษาตัวเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตอนนั้นคนไข้มีประวัติว่าป้อนอาหารอยู่แล้วคนไข้สำลัก แล้วมีอาการเกร็ง มีอาการหายใจเหนื่อยหอบมาก ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติอยู่ที่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากการสำลักอาหารแล้วไปอุดหลอดลม ทำให้คนไข้มีปัญหาเรื่องการแลกเปลี่ยนแก๊สก็เลยใส่ท่อช่วยหายใจและเครื่องช่วยหายใจ จนอาการดีขึ้น แต่สิ่งที่พบต่อมา คือ คนไข้มีอาการเกร็งและชักไม่หยุด ทางเราก็ให้อายุรแพทย์ระบบประสาทมาช่วยประเมิน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากระหว่างที่คนไข้สำลักและขาดออกซิเจนทำให้สมองมีอาการขาดออกซิเจนไปด้วย ปัจจุบันเรามีการให้ยากันชักทางน้ำเกลือตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ก็สามารถควบคุมอาการชักได้ดี จนถึงเวลานี้ไม่มีอาการชักมาประมาณ 24 ชั่วโมงแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างลดยากันชักที่ให้ทางน้ำเกลือและให้ทางชนิดกิน ดังนั้นอาการชักจึงดีขึ้น ซึ่งหลังจากคนไข้มานอนโรงพยาบาลได้สองวันก็มีอาการไข้ขึ้นสูง จึงให้คุณหมอโรคปอดมาช่วยดู พอประเมินแล้วตอนนี้น่าจะมีการติดเชื้อถึง 2 ที่ คือที่ทางเดินปัสสาวะกับติดเชื้อที่ปอด ซึ่งการติดเชื้อที่ปอดคงจะสัมพันธ์กับอาการสำลักวันแรกที่เข้ามา เราได้มีการส่งเพาะเชื้อในเลือด ปัสสาวะและเสมหะ มีการให้ยาฆ่าเชื้อ 2 ชนิด หลังจากให้ยาประมาณ 24 ชั่วโมง อาการไข้และหอบเหนื่อยลดลง”

“อาการล่าสุดเช้านี้สามารถให้คนไข้หายใจได้เอง แต่ยังต้องใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ ถ้าไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเลยประมาณ 24-48 ชั่วโมง เราจะเอาเครื่องช่วยหายใจและท่อช่วยหายใจออก ซึ่งเท่าที่ประเมินตอนนี้คนไข้มีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่กังวลตอนนี้เนื่องจากคนไข้มีอายุเยอะ และมีประวัติเป็นเบาหวานและความดัน กรณีแบบนี้สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อีกหลายๆ อย่าง หลังจากที่เข้ามาวันแรก เราสังเกตว่าคลื่นหัวใจเต้นผิดจังหวะและได้ตรวจเพิ่มเติมเบื้องต้นพบว่า อาจจะมีเรื่องของเส้นเลือดหัวใจตีบ แต่สภาพของคนไข้ตอนนี้ยังไม่สามารถส่งตรวจอื่นๆเพิ่มเติมได้ เช่น การฉีดสีหัวใจ ว่าตกลงหลอดเลือดมีปัญหาอะไร เพราะคนไข้ที่มีอาการแบบนี้มีอาการเกิดโรคนี้อยู่แล้ว ยิ่งมีเส้นเลือดสมองตีบ เส้นเลือดอื่นๆจึงมีโอกาสตีบเพิ่มเติม แต่เท่าที่ผ่านมาคนไข้ได้รับการดูแลค่อนข้างดี เพราะในคนไข้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มักจะเจอแผลกดทับตามปุ่มกระดูก แต่คนไข้รายนี้ไม่มีเลย ส่วนแผลที่เท้าก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เรากังวลเหมือนกัน เพราะเลือดไปเลี้ยงไม่ดี ปัจจุบันเรามีการตรวจเป็นระยะๆและมีการปรับให้อินซูลินเพื่อควบคุมน้ำตาลซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี”

“ตอนนี้คนไข้ยังไม่ทำตามสั่ง แต่เริ่มตื่นรู้ตัว การฟื้นตัวคงใช้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่งถึงจะประเมินได้ ถ้าเอาเครื่องช่วยหายใจออกเราจะประเมินได้ดีขึ้น ตอนนี้คนไข้ยังทรงตัวยังอยู่ในห้องไอซียู แต่อาการโดยรวมดีขึ้น ซึ่งวันนี้จะลองให้คนไข้ลองเริ่มหายใจเองโดยไม่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าหายใจเองได้ดีเลยประมาณ 1 วัน จะเอาท่อช่วยหายใจออก ถ้าเป็นไปตามแผนการรักษานี้ คนไข้จะอยู่ในห้องไอซียูประมาณ 2-3 วัน แต่ถ้ามีเหตุวิกฤตอะไรเกิดขึ้นก็คงต้องเปลี่ยนแผนการรักษา”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน