วันที่ 6 ก.ค. ที่ โกดังโครงการสุวรรณบุศ ย่านบางพลี ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ พระเอกนักร้อง
ให้สัมภาษณ์หลังมาร่วมงานบวงสรวงภาพยนตร์ “มังกร นารี ปีศาจ”(The Trilogical Affairs) ถึงกระแสข่าวที่ว่าจะไม่ต่อสัญญากับค่ายอาร์เอสแล้ว

 

โดย ‘ฟิล์ม’ กล่าวว่า “โอ้โห! ยังไม่รู้เลยครับ ผมก็ยังไม่ทราบ อยู่ที่บ้านหลังเดิมก็ยังดีอยู่นะครับ ผมอยู่จนผมไม่ได้มองแล้วว่าสัญญาเหลืออยู่เท่าไหร่ ในการทำงานผู้ใหญ่ก็ให้อิสระผมเพราะโตๆกันแล้ว ผมก็รู้กฎรู้ระเบียบดีอยู่แล้วครับ ถามว่าพอมีข่าวออกมาทางผู้ใหญ่มีเริ่มคุยบ้างหรือยัง ผมว่ามันคงเป็นแค่กระแสนะครับ เพราะว่าในสัญญาตามกฎถ้าเหลือน้อยเขาก็ต้องเรียกไปคุย แม้แต่ตัวผมเอง ผมอยู่มานานจนชินแล้วว่าไม่ต้องไปดูสัญญาแล้ว ผมอยู่ก็มีความสุขดี แล้วก็เวลาใกล้ๆ เขาก็จะเรียกไปคุย ผมไม่ได้เช็กเลยครับว่าเหลือกี่ปี แต่คงเหลือไม่นานเพราะผมอยู่มาจะ 15 ปีแล้วครับ”

วางแผนไว้ไหมว่าถ้าหมดจริงๆ จะทำยังไงต่อ ฟิล์มตอบว่า “ผมยังไม่ได้วางแผนอะไรเพราะว่าตัวเราก็เกิดมาจากที่นี่ตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ก็ยังมีความสุขดีอยู่ การทำงานทุกอย่างคือรู้กฎรู้ระเบียบ พอผมจะไปรับงานอะไรก็แจ้งผู้ใหญ่เขา ส่วนที่คนบอกว่าถ้าเป็นนักแสดงอิสระการรับงานจะมีอิสระมากกว่าไหม ผมว่ามันต่างแนวคิดนะครับ ในส่วนตัวผมพอดีว่าทางผู้ใหญ่หรือทางต้นสังกัดก็ให้ความอิสระที่อยู่ในกฎระเบียบอยู่แล้ว พอรู้เงื่อนไขก็ทำทุกอย่างตามอิสระได้ แต่อยู่ภายใต้กฎ เขาไม่ได้มากดดันอะไรผมเลย ผมมองว่ามันดีกว่าด้วยซ้ำที่อยู่ในบ้านหลังเดิมที่โตมา”

 

สัญญาของบริษัทค่อนข้างเอื้อให้ตัวเราเป็นอิสระมากกว่าคนอื่นหรือเปล่า พระเอกคนเดิมกล่าวว่า “จริงๆ ผมว่ายุติธรรมกับทุกคนนะครับ แต่ว่าในตัวผมก็คือจะเคารพกฎครับ”

 

เอาจริงๆ ตอนนี้มีที่อื่นมาชวนไปอยู่ด้วยไหม ฟิล์มตอบว่า “ก็มีครับ ถามว่าค่ายใหญ่ไหม ก็มีทั่วๆ ไปเพราะทุกคนก็คิดถึงอยากให้เล่นละคร เล่นหนัง ถามว่าส่วนใหญ่เวลาตัดสินใจรับงาน เอาตัวเราเป็นหลักหรือผู้ใหญ่เป็นหลัก ถ้าเกิดส่งไปที่บริษัททางต้นสังกัดก็จะเป็นหลักในการสกรีนให้ แล้วก็ส่งมาให้ผมว่าผมจะเล่นไหม แต่ว่าหลังๆ มานี่พอเขาติดต่อมาผมก็จะดูให้ก่อนว่าผมอยากจะเล่นไหม ผมชอบไหม ผมค่อยส่งไปที่บริษัทครับ”

 

ตอนนี้เหมือนนโยบายในการทำงานเพลงของอาร์เอสเปลี่ยนไปด้วย พระเอกหนุ่มตอบว่า “ก็เปลี่ยนเยอะครับ เพราะว่ามันตามยุคตามสมัย ถ้าให้บริษัทมาแบกอย่างเดียว บริษัทก็อาจจะไม่รอด เลยต้องเอื้อให้วินวินทั้งคู่ คือพอในยุคการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ผมก็เข้าใจเพราะผมมีธุรกิจรองรับอยู่แล้วก็วางแผนไว้ว่ามันต้องเป็นแบบนี้แน่นอนเลยไม่กระทบมาก ถ้าเกิดว่าผมไม่มีอะไรรองรับเนี่ยก็คงแย่เหมือนกัน เพราะว่าร้องเพลงก็ไม่ได้แล้ว หนังก็ไม่มีแล้ว ตอนนี้มีแต่งานละคร”

“ถามว่ารูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปของบริษัทมีความคิดเห็นยังไงบ้าง ผมมองว่าทุกต้องอยู่รอดอะ ทางสังกัดเอย ทั้งเด็กเอย ทั้งสองต้องอยู่รอด มันแล้วแต่แนวคิดว่าคุณจะบริหารชีวิตคุณยังไง เพราะถ้าเกิดว่าบริษัทมาแบกเด็กอยู่ บริษัทก็ตาย ไปรอแต่บริษัทป้อนงาน เด็กก็ตายเหมือนกัน เพราะว่ายุคนี้มันเอื้อกัน คุณต้องเอาตัวรอดให้ได้ครับ”

 

มีบางกระแสบอกว่าบริษัทมีการเสนอหุ้นให้นักแสดงบางคนเพื่อยื้อให้อยู่ต่อ ฟิล์มตอบว่า “ไม่น่ามีๆ จริงๆ หุ้นเขาเปิดขายในตลาดอยู่แล้วครับ”

 

ใจจริงเราอยากเล่นละครนอกค่ายบ้างไหม ฟิล์มบอกว่า “จริงๆ แล้วผมอิสระนะครับ คือผมจะดูบทเป็นหลัก แต่ว่าส่วนใหญ่ในช่อง 8 ถ้าเกิดว่าบทมาดี ผมก็จะเล่น เดี๋ยวนี้เขาให้อิสระผมเป็นผู้จัดฯ ผมก็เลือกแต่บทดีๆ มาให้ตัวเองเล่นมันก็เลยต้องเล่นบ้านตัวเองเพราะเลือกเองครับ แล้วทีมงาน ผู้จัดฯ หลังบ้านก็ของผมเองหมด อิสระมากๆ พอเป็นที่อื่นก็ต้องดูว่าโปรดักชั่นดีไหม คือผมก็ไม่ใช่เด็กรุ่นใหม่ที่โด่งดัง อยู่มานานแล้วก็ต้องเลือกบทดีๆ ให้ตัวเอง”

ถามถึงเรื่องหัวใจบ้าง พระเอกคนเดิมกล่าวว่า “ยังว่างๆ อยู่ครับ ช่วงนี้มาเน้นกับงาน แล้วที่ผ่านมาธุรกิจก็เครียดเหลือเกิน ยังไม่ค่อยมีเวลามากมาย ถามว่าไม่มีคนที่ถูกใจเลยเหรอ คือที่ผ่านมันก็มีบ้าง แต่ว่าผมก็มองว่างานมันเครียดมากจริงๆ อย่างที่เป็นกระแสข่าวผมก็ต้องแก้ไข เพราะว่างานในวงการบันเทิงกับการแก้ไขในธุรกิจจริงมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คือธุรกิจแก้ไขผิดคือเจ๊งเลยขาดทุนเลยหรืออาจจะไม่รอดเลยก็ได้ แต่บันเทิงเนี่ยพูดผิดไปพี่นักข่าวก็ช่วยกันซัพพอร์ต มีการแก้ข่าวทีหลัง อันนี้มันคือโลกของผม แต่ว่าโลกของธุรกิจมันโหดร้ายมาก มันต้องใช้ทั้งตัวไปขลุกอยู่กับมัน”

 

ไม่มีใครเลยแบบนี้ไม่เหงาเหรอ ฟิล์มตอบว่า “ก็มีบ้างครับ แต่ผมก็เครียดกับงานมากกว่า ธุรกิจมันไซส์ใหญ่ขึ้นก็ต้องเครียดตาม จริงๆ ตอนนี้มันก็มีบ้างที่กำลังคุยๆ อยู่ แต่ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง”

 

เพื่อนๆ ก็เริ่มแต่งงานมีลูกกันหมดแล้ว ตัวเรามีโอกาสไหม พระเอกหนุ่มหัวเราะก่อนตอบว่า “คุณแม่ไปเอาเด็กมาเลี้ยงแล้วนะครับ เขาก็บ่นอยู่ทุกวัน เมื่อไหร่จะมีๆ คือเขาก็เอาลูกเพื่อนมาเลี้ยงซึ่งเป็นเด็กฝรั่งที่ผมลงไอจีบ่อยๆ”

 

คุณแม่อยากได้สะใภ้ฝรั่งไหม พระเอกหนุ่มตอบว่า “เขาก็รบเร้า บางทีเลี้ยงหลานที่เป็นฝรั่งเขาก็บอกว่าถ้าฟิล์มมีแฟนฝรั่งหรือจีนคงดีเลยนะ ลูกคงน่ารัก พูดอยู่อย่างนั้นอ่ะ ผมก็บอกไปว่าหาแฟนก่อนดีกว่าไหม”

 

หลานที่เอามาเลี้ยงเคยบอกว่าจะจดให้เป็นบุตรบุญธรรม ดำเนินการหรือยัง “ก็ดำเนินการอยู่ครับ อยู่ที่แม่เขาและแม่ผมตกลงกัน เพราะผมไม่จดเป็นของตัวเอง แต่ผมก็ดูแลตลอด ตอนนี้ก็ส่งเข้าเรียนครับ แต่ยังไม่ได้จด อยู่ที่แม่ตัวจริงเขาครับ” พระเอกหนุ่มกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน