‘จูเน่’ทุ่มเทการแสดงปลดล็อกหลายอย่างในชีวิต – ยอมรับว่าทั้งยากและท้าทาย กับการมารับบท ‘ครูพี่ลิน’ หนึ่งในตัวละครเอกละคร “ฉลาดเกมส์โกง” ทางช่องวัน 31

สำหรับ นักร้องสาววัย 20 ปี ‘จูเน่’ เพลินพิชญา โกมลารชุน อดีตสมาชิกวง “BNK48”

อีกทั้งยังต้องประชันฝีมือกับอีก 3 นักแสดงดัง ‘เจ้านาย’ จินเจษฎ์ วรรธนะสิน, ‘ไอซ์’ พาริส อินทรโกมาลย์สุต และ ‘นาน่า’ ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์

วันนี้ฟ้าฝนเป็นใจ ได้คุยกับนักร้องวัยใสถึงเรื่องราวงานแสดง รวมถึงอัพเดตสถานะการเป็นนักร้องวง “BNK48” และสถานะของหัวใจ

บท‘ลิน’ ใน ฉลาดเกมส์โกง เป็นไงบ้าง?

จูเน่ – “เป็นบทที่หินและท้าทายมากๆ มีทั้งคาแร็กเตอร์ที่เหมือนจูเน่ และที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ต้องทำการบ้านพอสมควรกว่าจะรู้ว่าลินเป็นคนฉลาด เป็นเด็กอัจฉริยะ เหมือนเป็นเด็กเรียนคนนึงที่วางแผนอนาคตตัวเอง วางแผนการเงินที่บ้าน

แล้วก็วางแผนการโกงได้ ลินจะเป็นคนช่างคิดช่างตั้งคำถามหลายๆ อย่างในสังคม ชอบเป็นคนเอาชนะ มีความขบถอยู่ในตัวมาก พอมาเจอสถานการณ์ความไม่ยุติธรรมในโรงเรียนเลยนำพาไปสู่การเอาคืน”

จากภาพยนตร์มาเป็นละครต่างกันยังไง?

จูเน่ – “เวอร์ชั่นหนังมีเวลาจำกัด จะมีการเล่าพาร์ตโกงค่อนข้างสับเวลาพอสมควร พอเป็นเวอร์ชั่นละครเราขยายตัวละครมากขึ้น แต่ยังคงพล็อตเรื่องเดิมไว้ ทุกคนจะได้เห็น มุมลินกับทางบ้าน มุมลินกับพ่อ กับแม่ ที่ไม่เคยเห็นในหนังมาก่อน นอกจากนี้จะได้เห็นว่าลินไปมีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆ ยังไงบ้างที่ทำให้เกิดภารกิจใหม่ๆ ขึ้นมาค่ะ”

คนที่เคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้ จะคาดเดาจุดจบของละครได้เลยไหม?

จูเน่ – “ไม่ค่ะ (หัวเราะ) ด้วยความที่เราไม่อยากสปอยล์ทุกคนเลยอยากให้ทุกคนติดตามค่ะ แต่ที่แน่ๆ ตอนจบไม่เหมือนกัน แม้เราจะมีวิธีการโกงที่เริ่มต้นด้วยแบ๊กกราวด์เดียวกัน แต่เรื่องราวต่อๆ ไปหลังจากที่ลินเข้ามหาวิทยาลัย ลินจะมีไอเดียวิธีการโกงใหม่ๆ เข้ามาแน่นอน ทำให้เห็นเลยว่าลินจากเดิมที่โกงได้เท่านี้ เขาจะโกงไปถึงไหน พัฒนาขึ้น อยากให้รอดูกันค่ะ”

เรื่องนี้สะท้อนสังคมถึงการโกงข้อสอบ?

จูเน่ – “เราต้องการจะตีแผ่สังคมค่ะ ในเรื่องการโกงในห้องสอบ โดยพูดถึงความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น พ่อแม่ เพื่อน ครู นักเรียน คู่รัก จนไปถึงลูกจ้างกับคนจ้าง เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน แต่สิ่งนี้แหละจะทำให้เรื่องเข้มข้น บวกกับเรื่องราวที่ไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น”

การแสดงมีความยากง่ายยังไงบ้าง?

จูเน่ – “มันยากทุกเรื่องสำหรับเน่ ตัวเราเองมีประสบการณ์น้อย อาจจะไม่ค่อยเข้าใจพื้นฐานการแสดง เลยต้องฝึกบ่อยๆ กว่าจะเข้าใจว่าลินเป็นคนยังไง ซึ่งมันต้องมาจากข้างใน ซึ่งเน่เพิ่งได้มาเรียนรู้ ค่อยๆ พัฒนาให้ตัวละครเก่งขึ้น แล้วก็สร้างตัวลินขึ้นมาได้สมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ”

ร่วมงานกับ เจ้านาย, ไอซ์, นาน่า เป็นยังไงบ้าง?

จูเน่ – “สนุกค่ะ (หัวเราะ) ใช้คำว่าแสบดีกว่า 4 คน คนที่แสบสุดต้องให้เจ้านาย แสบและร้ายมาก จริงๆ ทุกคนมีความแสบเป็นของตัวเอง อย่างเจ้านายจะแซวเก่ง อัธยาศัยดี ส่วนพี่ไอซ์จะมีพลังพอสมควร อยู่ดีๆ ก็เต้น อยู่ดีๆ ก็ร้องเพลง นาน่าก็จะบ้าบอ คาดเดาอะไรไม่ได้ เหมือนมีเพลงในใจเขาเสมอ ถ้าเป็นตัวเน่ก็จะนอนสบาย เป็นคนนิ่งๆ แต่สักพักก็จะบ้าบอ (หัวเราะ) ความสนุกสนานระหว่างทำงานมันเลยมีตลอดเวลา เหมือนแต่ละคนมีช่วงเวลาความสนุกสลับกันมีนักแสดงคนอื่นๆ ด้วยที่อายุใกล้เคียงกันมาตั้งวงดนตรีร้องเพลงกันตลอดเลยค่ะ”

เคมีกับ ‘เจ้านาย’ เป็นยังไงบ้าง?

จูเน่ – “ก็เขินนะ เขินในฐานะบทลิน มันเลยเซอร์ไพรส์ตัวเราเหมือนกัน ลองนึกภาพ ลินตอนอยู่ในหนังเราอาจจะคิดว่าลินมันเขินยังไง จนเราได้มาเล่นเป็นละครเราถึงได้รู้ว่าลินเขินแบบนี้นี่เองเราก็ไม่คาดคิดว่าลินในละครจะมีโมเมนต์แบบนี้ ที่ไม่ได้หวานหยดย้อยแต่กุ๊กกิ๊กด้วยเคมีบางอย่าง ส่วนความรู้สึกระหว่างทำงานกับเขา มีโหมดแซวลั้ลลา และโหมดตั้งใจทำงานค่ะ”

เลิฟซีนสาดหวานกันบ้างไหม?

จูเน่ – “อย่าเรียกว่าเลิฟซีน ไม่มีค่ะ ไม่อยากให้ความหวัง มันอาจจะไม่ใช่ละครกุ๊กกิ๊กหวาน แต่มันเกิดความรักขึ้นในรูปแบบที่ไปพร้อมกับการโกง เวลาแสดงช่วงแรกๆ ก็เกร็ง แต่เหมือนตอนนี้ลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว เพราะสนิทกัน เริ่มแรกก็เกร็งกับทุกคน ด้วยเขามีชื่อเสียง เพื่อนเรายังติ่งเขาเลย แต่พอรู้จักและทำงานกันก็เป็นมนุษย์ศีลเสมอกันค่ะ”

กลัวคนจะเอาฉบับภาพยนตร์มาเปรียบเทียบกับฉบับละครไหม?

จูเน่ – “เรื่องเปรียบเทียบหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราทำมาจากเค้าโครงเรื่องเดียวกัน เน่มองว่ามันคนละสไตล์ ทีมงานและนักแสดงคนละชุด อยากให้มองว่าเป็นผลงานคน ละชิ้น อาจจะโจทย์ไม่เหมือนกันด้วยซ้ำ ต่อให้มีคำเปรียบเทียบเน่ก็อาจจะทำได้แค่ขอให้ทุกคนเปิดใจดูซึ่งเป็นอีกเรื่องที่เราตีแผ่สังคมให้เห็นถึงปัญหาแล้วก็มาดูเรื่องราวสนุกๆ ของเด็ก 4 คนนี้ว่าจะเติบโต แก้ปัญหา และปลายทางจะเป็นยังไง”

หลังจากที่แสดงละครเรื่องแรก ‘One Year 365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ’ มาเรื่องที่สองคล่องขึ้นไหม?

จูเน่ – “เข้าใจเรื่องพื้นฐานมากขึ้น อย่างเรื่องแรกไม่รู้เลยว่าวิธีการถ่ายทำละครเป็นยังไง ตื่นเต้นมาก แต่พอมาเรื่องที่สองเริ่มเข้าใจแล้วซึ่งทำให้เรากล้ามากยิ่งขึ้น”

ตอนประกาศไลฟ์สดออกจาก “BNK48” ตอนนั้นเป็นไงบ้าง?

จูเน่ – “เราอยากจะออกมาทำผลงานด้านการแสดงมากขึ้นอย่างเต็มตัว ด้วยสนใจด้านนี้ รู้สึกว่าการแสดงมันปลดล็อกอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตจริงของเรา เลยทำให้เราอยากให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ เราสนุกที่ได้ทำและเรียนรู้สิ่งนี้ เลยตัดสินใจใช้เวลาช่วงนี้ไปในทางการแสดงเลย บวกกับการแบ่งเวลาเรียนทำควบคู่ไปด้วย ตอนนี้ก็ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ซึ่งก่อนหน้านั้น เดร็อปไว้มา 2 ปี เลยอยากจะกลับไปเรียนอย่างเต็มตัว คิดว่าเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยน่าจะดีกว่า”

ผู้ใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง?

จูเน่ – “คุยกันพอสมควรว่าเราจะออก 2 ปีเหมาะสมแล้วที่เราอยู่ในวง ซึ่งการแสดงอยู่ในใจเราตั้งแต่เด็ก อย่างพี่ญาญ่า(อุรัสยา)เป็นไอดอลในดวงใจ พี่ต่อ ธนภพ, พี่ณเดชน์ และพี่มาริโอ้ เราชอบการแสดงอยากเข้าใจวิธีการแสดง เขามีเสน่ห์และเทคนิคที่น่าสนใจ”

แฟนคลับ BNK48 ว่าอย่างไร?

จูเน่ – “หลายคนเคารพในการตัดสินใจของเรา และมาแสดงความยินดีค่ะ มันแค่เหมือนช่วงๆ หนึ่ง ที่เราไปลองอะไรใหม่ๆ ในชีวิต กระโจนไปในทิศทางที่แตกต่างแต่ว่าเราไม่ได้หายไปไหน เน่เชื่อว่าแฟนคลับที่ชื่นชอบเราเขาน่าจะรู้ว่าทำไมเราถึงตัดสินใจแบบนี้ค่ะ”

ใจหายไหมที่ออกจากวง BNK48?

จูเน่ – “ใจหายนิดหน่อยค่ะ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเมมเบอร์มีช่วง เวลาที่สนุกๆ หลายสถานการณ์ในวงเราก็ผ่านมาด้วยกัน”

เข้าวงการบันเทิงได้มีอัพความสวยความงามบ้างไหม?

จูเน่ – “เราก็เป็นคนรักสวยรักงามนะ แต่จะขี้เกียจ เป็นคนไม่ทาโลชั่นเลย จะทาแค่เวลา มีงาน ซึ่งไม่ค่อยดีและต้องปรับปรุงค่ะ จนหลังๆ เรามองว่าสิ่งที่เป็นพื้นฐานคือดื่มน้ำเยอะๆ และนอนให้พอ เราปรับพฤติกรรมแล้วรู้สึกว่าสุขภาพมันดีขึ้นทั้งกายและใจ”

ทำไมตัดสินใจดร็อปเรียนที่จุฬาฯ(คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์)?

จูเน่ – “คิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ จริงๆ เป็นช่วงที่เราเริ่มเข้าวง BNK48 พอดี ในปีแรกเราฝึกซ้อมหนัก ทั้งซ้อมร้อง ซ้อมเต้น นอกจากนี้ยังมีคอนเสิร์ตมีอีเวนต์ต่างๆ ส่วนปีสองดร็อปเพราะถ่ายซีรีส์สองเรื่อง ทั้ง One Year 365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ และฉลาดเกมส์โกง ดังนั้นเลยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีแล้วสำหรับทุกฝ่าย”

ทางบ้านเข้าใจไหม เพราะดูเป็นเด็กเรียน เคยได้ทุนโครงการ AFS ไปเรียนที่รัสเซีย?

จูเน่ – “จริงๆ หนูไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง แค่ลองหลายอย่างมากกว่า ทางบ้านก็สนับสนุน เพราะเห็นเราฉายแววตั้งแต่เด็กๆ ว่าเรามาทางสายกิจกรรม สายบันเทิง สายศิลปะ เราอาจจะไม่ได้ทางสายวิชาการแบบพี่สาวเรา (แก้ม พิมพัจฉรา) เรียกว่าทางบ้านไม่บังคับว่าจะต้องไปในทางที่เขาต้องการ เขาเห็นว่าเราเหมาะกับทางไหน เขาสนับสนุนเต็มที่ แต่ก็อยากให้เรียนเป็นหลัก ตอนนี้ก็กลับมาเรียนแล้ว”

การเรียน การทำงาน เราตัดสินใจเอง?

จูเน่ – “แทบทุกเรื่องเลย มันมีช่วงที่เราใช้ชีวิตอยู่คนเดียวด้วย เลยทำให้เราโตขึ้นและเลือกที่จะเป็นคนตัดสินใจเองหลังจากที่ไปแลกเปลี่ยนมา ซึ่งทางบ้านก็เชื่อมั่นบางอย่างในตัวเราห่างๆ และส่งกำลังใจมาให้ เราไม่ซีเรียสเรื่องจบช้าจบเร็ว เนื่องด้วยเราอาจจะต่างจากเด็กคนอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกัน เพราะเราทำงานก่อนแล้วค่อยมาเรียน คิดว่าไม่ได้รีบเรียนเพื่อจะไปหางานตรงสาย แต่เราเรียนเพื่อสนองความต้องการในสิ่งที่เราตัดสินใจเรียนด้านที่เลือกไว้ค่ะ”

พอออกจากวง BNK48 เราไม่มีกฎแล้วมีความรักได้ ตอนนี้เรื่องหัวใจมีใครเข้ามาไหม?

จูเน่ – “จริงๆ ตอนนี้ยังมีความรู้สึกกึ่งๆ ว่ายังอยู่ใน BNK48 อยู่ค่ะ เลยยังไม่ได้มองตรงนั้น และอีกอย่างที่อยากแก้ข่าวคือ ระหว่าง 2 ปีที่อยู่ BNK48 ไม่เคยมีใครเข้ามาจีบเรานะ ในโซเชี่ยล ส่วนไดเร็กต์อาจจะมีบ้าง แต่ไม่ได้เปิดดู ซึ่งการที่มีกฎในวง ไม่ใช่ว่าหนูกลัวที่จะออกไปมีความรักนะ คนอื่นเขาก็กลัวที่จะเข้ามาหาหนูด้วย แม้แต่เพื่อนผู้ชายจะเข้าหาเรายัง ต้องด้อมๆ มองๆ ว่าปลอดภัยหรือเปล่า เดี๋ยวโดนเป็นประเด็นข่าว”

โดย…สุชาวดี อภิสัมภินวงค์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน