น้ำตาคนเป็นพ่อ เปิ้ล นาคร ขอโทษใช้ความรุนแรงกับลูกหลังรู้ความจริง ด้านภรรยา จูน ปล่อยโฮหนัก
ช่วงเวลาที่ลูกดื้อ ไม่เชื่อฟัง หรือกระทำความผิด คุณพ่อคุณแม่หลายคนจะใช้วิธีการลงโทษลูกด้วยการใช้สิ่งที่มีน้ำหนัก ตี ลูกเพื่อให้ลูกได้สำนึกความผิดกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป เช่นเดียวกับคุณพ่อลูกสี่ เปิ้ล นาคร ที่ครั้งนี้กลับฮาไม่ออก เมื่อเปิ้ลได้โพสต์ขอโทษลูกคนที่สอง น้องออก้า วัน 9 ขวบ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
“ป๋าขอโทษ….จะไม่ทำแบบนี้กับลูกอีกแล้ว..พอกันทีกับการใช้ความรุนแรง…..เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ป๊าเรียกออก้ามาคุย…ถามว่าออก้าร่วมกับเพื่อนไปแกล้งน้องป.2 จนร้องไห้ใช่ไหม ซึ่งออก้ายอมรับว่าใช่..ดีแล้วที่ยอมสารภาพ (เราสอน4ออเสมอว่าอยากทำอะไรก็ได้ ทำให้สุดแต่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนอย่าทำให้คนอื่นเสียใจหน้าที่ของพวกเราคือทำให้คนอื่นมีความสุข)
งั้นป๊าขออนุญาตทำโทษลูกโดยการตีด้วยไม้แขวนเสื้อ2ทีนะ..ได้ครับ..(ออก้าตอบพร้อมยืนกอดอก น้ำตาเริ่มคลอเบ้า เพราะลูกๆทุกคนรู้ว่าหากป๊าขอทำโทษโดยการตีมันแรงแค่ไหน…ถึงจะนานๆทีปีละครั้งก็เถอะ)
เพี๊ยะ!!!….ครั้งที่1ออก้านิ่งน้ำตาเริ่มไหล เพี๊ยะครั้งที่2ออก้าปล่อยโฮ..จูนยืนดูอยู่ด้วยร้องไห้ตามลูก…ป๊าวางไม้แขวนเสื้อแล้วเดินไปร้องไห้อีกห้องนึง
น้องออก้า ลูกคนที่สอง ของ เปิ้ล นาคร
วันต่อมาผู้ปกครองโรงเรียนออก้าได้ส่งรายงานการบ้านย้อนหลังของออก้าที่เขียนไว้ในวัน World peace day เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา (ก่อนหน้าที่ป๊าทำโทษ1อาทิตย์)…ออก้าเขียนเอาไว้ว่า…”ถ้าเราเห็นใครสักคนไม่มีเพื่อนเล่นด้วย เราต้องเข้าไปเล่นเป็นเพื่อนกับเขา”….และอีกข้อความหนึ่งออก้าเขียนเอาไว้ว่า…”ถ้าเราเห็นใครมีเรื่อง เราต้องเข้าไปห้ามไม่ให้เขามีเรื่องกัน”
โดยหลังอ่านข้อความที่ออก้าเขียนจบ…ป๊าแอบร้องไห้อีกครั้ง….ต่อจากนี้ไปป๋าขอสัญญาว่า ป๊าจะไม่ใช้ความรุนแรง จะไม่ทำโทษโดยการตีลูกอีกต่อไปไม่ว่าลูกจะทำผิดขนาดไหนก็ตาม…เราคงมีอีกหลากหลายวิธีที่จะทำให้ลูกๆเป็นคนดีของสังคมได้…..ป๋าสัญญา……Happy birthday ครับออก้าลูกรักของพ่อ”
ทำเอาชาวเน็ตต่างคอมเมนต์เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อแม่ที่ต้องลงโทษลูกด้วยวิธีการตี แต่ในใจกลับมาแอบร้องไห้คนเดียวและทายาให้ลูกตอนหลับ
ในขณะเดียวกันมีชาวเน็ตบางส่วนแสดงความคิดเห็นแนะนำว่าไม่ควรลงโทษลูกด้วยไม้แขนเสื้อ ให้ลงโทษด้วยวิธีอื่นดีกว่า เช่น การใช้มือตี การพูดคุย หรือกฎระเบียบ เพื่อให้ลูกได้สำนึกผิด
ขอขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก ple nakorn และ อินสตาแกรม ple_nakorn
