ณวัฒน์ ยันไม่เนรคุณ แฉกลับ จ่ายเงินช้า ถอนการสนับสนุนทุกทาง

ตอบโต้กันดุเดือดเลยทีเดียว สำหรับพิธีกรชื่อดัง ณวัฒน์ อิสรไกรศีล หลังจากที่พิธีกรชื่อดังโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึง “ผู้หญิงข้ามเพศ” คนหนึ่งที่ออกมานั่งแชร์เรื่องส่วนตัวและบูลลี่คนอื่นโดยใช้คำหยาบคาย พร้อมประกาศแบนทุกรายการที่ตนเองทำ

หลายคนคาดเดาว่าหมายถึง แอน จักรพงษ์ สตรีข้ามเพศชื่อดัง ซึ่งล่าสุด แอน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึง “คุณณ…” ถึงการกระทำที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียงอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงตนเองที่เป็นลูกค้าที่อุดหนุนรายการมาโดยตลอด พร้อมตั้งคำถามถึง “คุณณ…” ถึงความกตัญญูต่อลูกค้า?!

ณวัฒน์

ณวัฒน์

ถามถึงกับเรื่องที่มีการโพสต์ถึงสตรีข้ามเพศคนหนึ่ง? “ผมขอไม่เอ่ยชื่อแล้วกันนะครับ จริงๆ แล้วตั้งหลักมาไม่อยากพูดเลยนะ เพราะอยากให้เรื่องมันทุเลาไปตามกาลและเวลา คนเราต้องมีเหตุผล และมีหลักการของตัวเอง เรื่องการสนับสนุน การเป็นสปอนเซอร์ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ว่าการสนับสนุน การเป็นสปอนเซอร์ คือเป็นการทำตามข้อตกลง ผลประโยชน์ต่างตอบแทน

แล้วผมอธิบายตรงๆ ชัดๆ เลยว่าเราทำงานเต็มความสามารถของเราแล้ว ผมไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้หรือเปล่า ว่าสิ่งที่มันถาโถมและทุกข์หนัก มันเข้ามาในชีวิตของผม ของบริษัท และของนางงามทุกๆ คน”

“เคสสุดท้ายคือปีโกโก้ ตีซะว่าเขาอาจจะไม่รู้ก็ได้นะครับ ที่ไปเดินแฟชั่นโชว์ชุดประจำชาติ ประมาณเกือบ 20 คน ไปเดินแล้วทุกคนทนทุกข์ทรมานมาก ไม่มีห้องแต่งตัว ไม่มีห้องแต่งหน้า ต้องไปตามซอก ไม่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ต้องไปในห้องน้ำ ไม่มีอาหาร เออาร์ของผมเครียดมาก แล้ววันนั้นก็เป็นวันที่ลำบากมากกับน้องทุกคนในการทำงาน แล้วมันก็เป็นแบบนี้มาเสมอ”

“จนเหมือนกับว่าได้รับความลำบากเหลือเกิน แต่ทำงานได้ มันได้รับการดูแลแบบนี้จริงๆ ผู้หญิง 20 คนกับช่างแต่งหน้ายังไม่เท่าไหร่ คอสตูมอีก ชุดประจำชาติที่ต้องการไปโชว์ แล้วการไปโชว์ครั้งนั้นก็ไปอยู่ในแพ็กที่เป็นคอมพลีเมนทารี เราทำงานเต็มความสามารถแล้วครับ แต่ว่าเราไม่ได้รับความอำนวยความสะดวก ซึ่งมันก็ลำบาก แต่ถามว่าโกรธมั้ย ก็แค่สงสัย แล้วมันก็เป็นแบบนี้จนน้องๆ หรือทีมเออาร์ หรือที่บริษัทเขาก็รู้สึก เพราะเขาบอกว่าพอก่อน คือมันหลายครั้ง อันนั้นคือส่วนหนึ่ง”

ณวัฒน์

ภาพครั้งอดีต

“แล้วอีกจุดหนึ่งที่ผมจะพูด ขออนุญาตพูดถึงที่ทีการแท็กเรื่องของการเป็นสปอนเซอร์ การมีบุญคุณ ตอบไปแล้วนะครับ บุญคุณกับการเป็นผู้สนับสนุนนั้นเป็นสัญญาต่างตอบแทน แต่สิ่งที่มากกว่านั้นก็คือ อันนี้ผมพูดถึงเรื่องทั่วไปแล้วกันนะ ว่าถ้าเกิดใครเป็นสปอนเซอร์คุณ แล้วจ่ายเงินช้าตลอด ช้ามากๆ ทวงแล้วทวงอีก และไม่จ่าย และช้ามากทุกครั้ง คุณจะรู้สึกเหนื่อยและล้ามั้ย”

“สิ่งที่ผมพูดมันมีหลักฐานและหลักการชัดเจน ผมมีวันวางอินวอยซ์(ใบแจ้งหนี้) วันที่ได้เงินทุกครั้ง จนสายป่านเส้นสุดท้ายผมขาด เมื่อปี 2561 ปีที่โกโก้ได้ เพราะเนื่องจากว่าบริษัทผมเตรียมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ บริษัทผมก็มีนโยบายค่อนข้างสูง เรื่องของการยกหนี้ข้ามปี เนื่องจากมันจะเป็นโปรไฟล์ที่ไม่ดี แล้วเราต้องตัดเป็น ถ้าเกิดจะเข้าตลาดหลักทรัพย์มันต้องไปทำระบบอีกแบบหนึ่ง

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราต้องได้รับการอบรมจากบริษัท ในฐานะที่เราเป็นผู้ใหญ่ที่สุด แต่ฝ่ายคอมเมอร์เชียล และบริษัทที่ปรึกษาในการพาเข้าตลาด บอกว่าให้ยุติการค้าการขายโฆษณา ให้กับคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ (ตัดทิ้งไปเลย?) ไม่ครับ เราได้เงินครบแล้ว เพียงแต่ว่ามันข้ามปี การที่เราทำงานไปนานแสนนาน ทำมาทุกอย่างให้หมดแล้ว จะลำบากแค่ไหนก็ทำหมดแล้ว แต่การตามเงิน เจ้าหน้าที่ทุกคนตามเต็มความสามารถแล้วไม่ได้”

7 เทป จ่ายเลตมาตลอดเลยไหม? “ผมก็ต้องตามตลอด จนในที่สุดโชคดีที่ผมยังมีแชตอยู่ในมือถือ แล้วก็แคปไว้หมดแล้ว ว่าไดอะล็อกอะไรบ้าง ที่เราคุยกัน แล้ววันที่เราเดดไลน์ คืออีกปีหนึ่ง แล้วก็ข้ามไปอีกเดือนหนึ่ง มีหลักฐานหมด ผมไม่รู้ว่าเจ้านายจะรู้หรือเปล่า แต่ทุกครั้งเด็กจะบอกว่า เจ้านายยังไม่สะดวกที่จะเซ็น เจ้านายยังไม่เข้า ซึ่งผมก็เคยถามว่า มันจะครึ่งปีแล้วนะครับ

นี่คือเหตุผลที่ผมขออธิบายเรื่องของการบอกว่า ถ้าใครสักคนหนึ่ง บอกว่าเคยมีบุญคุณ ผมบอกเลยว่าการทำงาน แล้วมีผู้สนับสนุนถือเป็นสัญญาต่างตอบแทนครับ แล้วผมทำงานเต็มความสามารถไปแล้ว แล้วสิ่งที่เราไม่ได้ไปต่อด้วยกัน ผมเป็นคนเลือก เพราะว่าครั้งสุดท้าย ถึงแม้วันนั้นที่ยังไม่จ่าย ยังมีการบอกให้ผมส่งสัญญา เอาเหมือนปีที่แล้วมาให้ แล้วขอชุดเพิ่มเป็น 40 ชุด แล้วจะรีบเซ็นด่วน ผมก็นิ่งเงียบ แล้วผมก็ไม่ติดต่อ ผมก็เป็นคนโทร.ไปบอกกับผู้ช่วยว่า ไม่แล้วครับ ไม่ไหว”

“อันนี้เรื่องจริงทั้งหมดครับ แต่ผมไม่รู้ว่าเจ้าของบริษัทจะทราบมั้ย ผมไม่รู้จริงๆ อาจจะเป็นความบกพร่องของเด็กก็ได้ที่ทำงานล่าช้าตลอดเวลาแบบนี้ อันนี้ไม่ได้ออกมาทวงนะครับ ผมได้ครบแล้ว ไม่เกี่ยวกันนะ เราต้องเข้าใจว่าการอธิบาย เพื่อให้คนอย่าเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนเนรคุณ ว่าได้สปอนเซอร์มาจากใครแล้ว แล้วไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณ แล้วมาว่าเขา มันแยกกันนะครับ”

“การจะเป็นสปอนเซอร์ หรือไม่ได้เป็นสปอนเซอร์ อยู่ที่สัญญาต่างตอบแทน อยู่ที่นโยบายของทางบริษัทคู่ค้า และทางบริษัทผม บริษัทผมมีนโยบายที่รับไม่ได้แล้วกับการที่จะต้องยกหนี้ข้ามปี กลายเป็นว่าเวลาเราปิดบัญชีในปีนั้นก็กลายเป็นปัญหาเล็กๆ ถึงแม้เงินมันจะไม่ได้เยอะ แต่อย่าลืมว่ามันซีเรียสกับการที่เราจะเข้าสู่มหาชน”

แล้วกับเมื่อเช้าที่เขาโพสต์ว่าอกตัญญู เรารู้สึกอย่างไรบ้าง? “ก็นี่ไง ผมอธิบายไปหมดแล้ว นี่คือความจริงนะครับ แล้วก็ไม่ได้โกรธด้วย หลังจากวันนั้นที่เคลียร์มาหมดแล้ว ก็ไม่ได้โกรธ แล้วก็ไม่ได้คุยครับ เพราะมันเป็นนโยบายของที่บริษัทบอกให้ยุติบริษัทคู่ค้าบางประเภท เพื่อจะนำพาเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ให้ปลอดภัย แต่ไม่ใช่ว่าเขาผิดนะครับ มันแค่ดีเลย์ หรือตัวเจ้าของบริษัทอาจจะไม่ทราบก็ได้ ผมไม่รู้ แต่มันเป็นแบบนี้ตลอด แล้วมันนานมาก คนสุดท้ายที่ตามกันหมดแล้ว ไม่ได้ ผมต้องเป็นคนตาม แล้วเวลาตามคนก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ”

เรื่องส่วนตัวเราได้คุยกันไหม? “ไม่ได้เจอครับ ไม่ได้เจอตั้งแต่ที่ผมพยายามตามอยู่ ส่วนมากจะติดต่อกันไม่ได้ แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่มารับแมสเสจแทน”

ณวัฒน์

จดหมายน้อย

สิ่งที่เขาโพสต์ ทำให้รู้สึกว่าตอนที่เขาล้ม เหมือนเราซ้ำ? “ไม่นะครับ โอเค…เรื่องสปอนเซอร์จบแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมผมถึงโพสต์ เรื่องที่บอกว่าผมคอยวิจารณ์คนดังในแง่ลบ ต้องบอกจุดยืนของผมก่อนนะ ว่าผมเป็น Public Speaker ผมมีเพจ ไม่ใช่เฟซบุ๊ก สำหรับในการช่วยรณรงค์ เรื่องของสิทธิความเสมอภาค และการไม่เอาเปรียบกัน และการถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ผมทำมานาน ไม่ได้มาทำในเคสของใครคนหนึ่งคนใดเป็นเคสแรกหรือเคสที่สอง”

“แล้วเรื่องว่า ต้องคุยเฉพาะเรื่องคนดังหรือเกาะคนดัง ผมไม่แน่ใจว่าแมสเสจคืออะไรแน่ๆ นะ เดี๋ยวจะพูดผิดไป ถ้าเกิดว่าเกาะคนดังจริงๆ ก็คงไม่ได้พูดถึงเขานะ ผมคงจะไปพูดถึงคนอื่น อันนี้พูดตรงๆ แต่ผมไม่ได้เกาะคนครับ ผมเกาะเรื่องมากกว่า”

“คนคนหนึ่งผมเคยสัมภาษณ์ไม่ต่ำกว่า 5-6 แอพพิโซด เป็นทอล์กโชว์ยาวๆ ผมเคยสนับสนุนเต็มความสามารถ ผมเคยผลักดันทุกอย่างที่คนคนหนึ่งอยากจะได้ ไม่ว่าอยากได้คำนำหน้าอะไรก็แล้วแต่ คุณลองไปดูเทปย้อนหลังกันได้ ว่าผมเชียร์ออกนอกหน้าขนาดไหน ผมท้าทายขอร้องรัฐบาล ขอร้องใครขนาดไหน ที่มีความรู้สึกว่าเป็นเพื่อน เป็นพันธมิตร เป็นลูกค้า ลองย้อนดูแล้วคุณจะรู้ ว่าผมทำอะไรลงไป แล้วผมก็ชื่นชมขนาดไหน”

“นั่นคือสิ่งที่ผมมีมาตลอดเวลา แล้วผมก็ทำไปเยอะ ถึงขนาดผมเคยสนับสนุน ว่าคุณน่าจะเป็นคนแรกที่เป็นนักการเมืองได้ จุดแรงบันดาลใจกัน เพราะผมเห็นว่า ความเอาจริงเอาจัง ความเก่ง ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อวันที่เขาสัมภาษณ์ แต่ผมมาเห็นทีหลัง ผมมีความรู้สึกว่า มันไม่ใช่ท็อปปิกหรือหัวข้อที่เราเคยอยากผลักดัน มันเป็นการพูดเรื่องเรตที่ไม่ค่อยเหมาะสม

แล้วสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้สิ่งที่เราเคยผลักดันเขา ในการสัมภาษณ์เนี่ย มันไปไม่ถึงฝั่งฝันหรอก แล้วผมก็เป็นคนชัดเจน ว่าผมเคยเต็มที่กับในประเด็นแบบนี้ไปแล้ว ผมก็ต้องถอยออกมา ว่าต่อไปนี้ผมไม่เกี่ยวแล้ว เพราะว่าสิ่งที่พูดไป ไม่ว่าด้วยความสนุกหรือความบันเทิง หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ มันทำให้เรารู้สึกว่า ตกใจเหมือนกัน เราชอบเขาในภาพลักษณ์เหมือนเดิม”

“แต่ว่าภาพใหม่ที่เป็นภาพเล่าเรื่องแนวนี้ มันลำบากใจ แล้วก็ไม่อยากให้ใช้พื้นที่สาธารณะแบบนี้ ในการทำแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าไม่ใช่คนคนนี้ หรือจะเป็นคนคนไหน ผมว่ามาเล่าเรื่องแบบนี้ก็ต้องโดนทุกคน เรายกออกดีกว่าว่าเป็นใครมันก็คงไม่เหมาะสม คุณลองเอาความคิดใจเย็นๆ ไปนั่งดูว่าคุยอะไรออกไปบ้าง แล้วถามว่าเด็กดูเยอะ คนดูเยอะ แน่นอนครับ เป็นไอดอลของหลายคน ถ้าคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ใช้ชีวิตได้แบบนี้ ถ้าทุกคนทำบ้าง มันจะอันตราย”

ก่อนหน้านี้เขาโพสต์บอกให้เราไปแปลงเพศ?อ๋อ…ผมไม่เป็นไร เอาอย่างนี้นะ ขออนุญาตตอบอันนี้ เพราะฉะนั้นผมก็เลยออกมาโพสต์ ในฐานะที่หนึ่งผมเป็น Public Speaker สองผมเคยร่วมผลักดันในการให้สัมภาษณ์ ในรายการเพชรรามา ดังนั้นผมก็ต้องถอยออกมา แล้วบอกว่าตอนนี้ก็หยุดแค่นี้นะ เพราะเป็นสิทธิ์ของผม แล้วผมก็คิดว่ามันไม่เหมาะจริงๆ คือจำไว้ว่าทุกอย่างมันถูกเร็กคอร์ดไปชั่วชีวิต เด็กสักวันหนึ่งโตขึ้นไป แล้วมาดูแบบนี้ มันก็ไม่ค่อยเหมาะสมก็เลยออกมาพูดตรงนี้ ถ้าผมออกมาพูดแล้ว ผมเป็นคนมีความเป็นประชาธิปไตยเต็มตัว ผมก็จะรับฟังในสิ่งที่คนอื่นฟีดแบ็กมาได้ครับ”

ตอนที่เราสนับสนุนเขา เราสนับสนุนด้วยใจหรือตามสคริปต์? “ใจครับ สนับสนุนด้วยใจ ผมรู้จักเขาตั้งแต่ภาพที่เห็น”

วันนี้เห็นเขาเป็นอย่างนี้ เรากลับไปมองย้อนดูเทปนั้น เราเสียใจไหม? “มีความรู้สึกว่า เอาอย่างนี้นะ พูดกันสั้นๆ เลยว่า เขาเดินไปถูกทางแล้วที่ผ่านมา อย่าเลี้ยวไปทางอื่นเลย คนรอบตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ อาจจะเยินยอหรือไม่กล้าคัดค้าน ด้วยสไตล์ แต่ว่าผมเป็นคนค่อนข้างจะชัดเจนนะครับ ถ้าเห็นว่ามันชักหลงทาง เพราะอะไรเราไม่รู้ เราไม่โทษใครคนใดคนหนึ่ง อาจจะเป็นอีโมชั่นนัล เป็นการบิ้วของรายการ หรือเป็นการตลาด อะไรใดๆ ที่ ณ ขณะนั้น แล้วเป็นรายการสดด้วย”

“ส่วนการที่เขาจะว่ากลับมา ให้ผมไปทำอะไรบ้าง ผมไม่ได้รู้สึกจริงๆ นะ ตราบใดที่เราพูดถึงคนอื่นได้ คนอื่นก็พูดถึงเราได้ แต่ทุกคนอ่านแล้วก็คงเข้าใจว่าคำพูดมันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่มันหมายถึงความรู้สึกอย่างไร เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะว่าผม ศัพท์ที่มันแรงๆ ผมไม่ได้โกรธ”

ส่วนตัวรู้สึกว่าคนนี้ทำให้ภาพของสตรีข้ามเพศมันดูลบไหม? “ผมว่าคนเราต้องมองกันที่บุคคลมากกว่า อย่ามองเป็นกลุ่มเลยมันลำบากใจ ผมว่าบางทีอาจจะเป็นเหตุผลอะไรบางอย่างก็ได้ อย่าไปโทษเขาคนเดียว แต่หมายถึงว่าคนคนหนึ่งที่เคยรู้จักกันมาเป็น 10 ปี บ้านเขาสมัยก่อน ผมก็เคยไปสัมภาษณ์ถึงในบ้าน ตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศใหม่ๆ ทุกอย่างต่างเอื้ออาทรได้

แต่ว่าวันนี้มีความรู้สึกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ฟีดแบ็กมันก็อย่างที่เห็น เพราะฉะนั้นเราก็ชัดเจนว่าขอถอยออกมา ถ้าเป็นแบบนี้เราไม่เกี่ยว เราจะไม่ยุ่ง เรื่องที่ผ่านๆ มานั่นคือโมเมนต์ที่มันเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าคุยกันเรื่องนี้แล้วจะให้เรามานั่งสนับสนุนเรื่องเปลี่ยนคำนำหน้าหรือสนับสนุนเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เราก็ขอหยุด”

คิดว่าสิ่งที่ตัวเองโพสต์มันสามารถเก็บพฤติกรรมของเขาได้ไหม? “ไม่ครับ อย่างมากก็ได้แค่ทำให้คนรู้สึกไตร่ตรอง แต่ว่าไตร่ตรองแล้วจะเป็นยังไงผมไม่รู้ คงไม่มีใครหยุดได้มั้งครับ ป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ว่าอย่าซีเรียสเลยครับ เห็นโพสต์อยู่เรื่อยๆ มีแท็กมา ผมไม่ได้ตอบโต้เลยนะ ยกเว้นวันนี้ที่มา ผมก็รู้ตัวว่าต้องถูกถาม เอาเป็นว่าผมพูดสั้นๆ เลยว่า

การที่เราไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนซึ่งกันและกันมันมีเหตุผลที่ชัดเจน แล้วเหตุผลยังอยู่ในมือถือ ไม่เคยล่วงละเมิดไม่เคยกล่าวล่วงใคร แต่ถามว่ารู้สึกอะไรมั้ย คือรู้สึกว่าทำงานไม่สะดวกเพราะว่าเป็นนโยบาย แต่ไม่ได้โกรธ จบแล้วก็คือจบ ไม่ได้ต่อว่า คนเราทุกคนอาจจะมีความผิดพลาดได้เกิดจากใครก็ไม่รู้ อาจจะพนักงานไม่ยอมทำงานก็ได้

ส่วนเรื่องการเป็น Public Speaker ผมก็ทำหน้าที่ของผมในเพจของผม ถ้าผมไม่เคยรู้จักเขาก็อาจจะไตร่ตรองว่าจะพูดหรือไม่พูด แต่นี่คือเรารู้จักกันมานาน และเราเคยให้พื้นที่ในการที่เรียกร้องหลายสิ่ง”

สถานะตอนนี้ยังเรียกเขาว่าเพื่อนไหม?ในสมัยก่อนก็น่าจะเป็นเพื่อนมั้งครับ (ตอนนี้ล่ะ?) อ๋อ…ไม่เป็นไรครับ เอาจริงๆ เราไม่ได้ทำงานด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดกับว่าเจอกันแล้วจะไม่คุยกันนะครับ ถ้าเจอกันก็คุยกันได้ แต่เราไม่คุยเรื่องงาน ผมไม่สามารถสนับสนุนแนวทางแบบนี้ได้ ผมต้องบอกจุดยืนของผมอย่างชัดเจนถ้าจะมาธีมแบบนี้ผมก็ทำไม่ไหวจริงๆ แต่ถ้ามาธีมแบบเดิม เป็นคนทำงาน ผมก็ยินดีจะทำให้ แต่ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนตัวเองมาพรีเซนต์แบบนี้แล้วโดยเฉพาะภาพต่างๆ ผมก็ไม่อยากให้มันเยอะขนาดนั้น”

หลังจากนี้จะเขียนถึงเขาอีกไหม? “ไม่ได้เขียนครับ (ตัดไปเลย?) ครับๆ”

เพื่อนร่วมโลกกันได้? “ได้ๆ ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าไม่ได้ร่วมงาน แต่เจอกันผมก็ยังทักเขาได้ ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็ฝากถึงเขาด้วยละกัน ฝากให้ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด แล้วก็ไม่มีอะไรจีรังในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปสอนใคร อย่างที่บอกว่าให้ใจเย็นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะค่อยๆ ผ่านไป วันหนึ่งไม่แน่นะครับ อาจจะต้องมาขอบคุณก็ได้ว่ามันก็สมควรน่ะ เราอย่าลืมสิว่าเด็กตัวเล็กๆ สองคนที่อยู่เคียงข้างสักวันเขาก็โต แล้วเขาจะดูอะไรล่ะครับ”

สุดท้ายแล้วยังจะร่วมงานกันได้ไหม ถ้าเกิดวันหนึ่งเขาจะมาออกรายการเรา หรือเชิญเราไปพูดคุย? “ตอนนี้ขอหยุดก่อนครับ (รอให้เขาเปลี่ยนพฤติกรรมดีๆ ก่อน?) อย่าเรียกว่าพฤติกรรมดีหรือไม่ดี เอาเป็นว่าถ้าเปลี่ยนลักษณะเรื่องในการนำเสนอแล้วเราค่อยมาพิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่า ณ ขณะนี้เอาเป็นว่าพักสักครู่(ยิ้ม)”

ขอบคุณรูปจากไอจี : annejkn.official

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน