คุณหมอใจร้ายลั่นถ้าเพื่อนตายก็สมควรเมื่อเขาไม่ตายจะช่วยกันยังไงได้บ้าง – จากกรณีที่ดาราสาวคนดัง แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ อัดคลิประบายความอึดอัดใจความยาวเกือบ 10 นาที หลังเพื่อนรุ่นพี่ได้รับอุบัติเหตุหัวฟาดพื้นอย่างแรงระหว่างเล่นเซิร์ฟสเก็ต ก่อนจะรีบนำตัวเข้าพบแพทย์ ทำทีซีสแกนในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่พัทยา เบื้องต้นได้รับการยืนยันจากแพทย์ว่าสมองได้การกระทบกระเทือน เข้าขั้นวิกฤต
แต่ครั้นพอดาราสาวแจ้งทางโรงพยาบาล ขอให้เพื่อนเข้ารักษาโดยใช้สิทธิในโครงการ UCEP(ยูเซป)(ฉุกเฉิน72ชม.รัฐบาลช่วยจ่าย) คุณหมอกลับแจ้งว่าไม่เข้าเกณฑ์ ต้องจ่ายค่าห้องฉุกเฉิน และค่ารถโรงพยาบาลหลายหมื่น จนเป็นที่มาของคลิประบายความอัดอั้นดังกล่าว ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดวันที่ 17 เม.ย.64 แตงโม นิดา ได้เปิดใจกับทาง “ข่าวสดบันเทิงออนไลน์” ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมบอกเหตุผลที่โพสต์คลิประบายความอัดอั้นดังกล่าว รวมถึงอัพเดตความคืบหน้าอาการบาดเจ็บของเพื่อนรุ่นพี่ให้ฟัง

ย้อนเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องมาอัดคลิประบายความอัดอั้นผ่านไอจีส่วนตัว?
“อย่างที่ทุกคนเห็นว่าเพื่อนโมล้มหัวฟาดพื้นจากอุบัติเหตุระหว่างเล่นสเกตบอร์ด แต่อันนี้เราก็ต้องขอโทษและต้องยอมรับผิดก่อนว่าตัวเราเองประมาทจริงๆ แต่ในเมื่อเขาไม่ได้ตายเพราะฉะนั้นเราต้องรีบส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ตอนนั้นโมก็นึกขึ้นได้ว่ามีโรงพยาบาลหนึ่งที่พัทยา ระยะทางจากที่เกิดเหตุไปโรงพยาบาลใช้เวลาประมาณ 28 นาที ค่อนข้างนานเหมือนกัน แต่ก็โชคดีที่รถไม่ได้ติด แต่ว่าในขณะที่เพื่อนอยู่ในรถเลือดก็ออกจากหูเต็มไปหมด รวมถึงต้องคอยเรียกให้ตื่นอยู่ตลอด กลัวเขาหลับแล้ววูบไปเลย”

“พอถึงโรงพยาบาลก็รีบเข้าห้องฉุกเฉิน คุณหมอก็บอกว่าเดี๋ยวจะช่วยเช็กเบื้องต้นก่อน ตอนนั้นทางโรงพยาบาลก็เชิญเราไปที่ห้องการเงินก่อนเลย แจ้งค่าใช้จ่ายว่ามีค่าอะไรบ้าง ซีทีสแกนเท่าไหร่ ค่าห้องเท่าไหร่ เพราะว่าผู้ป่วยจะต้องอยู่ในห้องไอซียู เขาก็บอกเรามาว่ากี่หมื่นๆ ต้องอยู่กี่คืนอะไรก็ว่าไป ทีนี้เราก็เอ๊ะ! ขึ้นมาได้ว่าคุณแม่ของผู้จัดการเราเคยมีประสบการณ์ว่าแฟนของเขาเลื่อยบาดนิ้วโป้งเลือดไหลเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่เขาได้รับการช่วยเหลือจากรัฐในโครงการยูเซป แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้แจ้งความจำนงว่าเราจะใช้ เดินเข้าไปฟังผลของเพื่อนว่าเป็นยังไงบ้าง คุณหมอที่แผนกฉุกเฉินได้บอกกับเราก็คือค่อนข้างจะวิกฤตเพราะว่าเลือดออกไม่หยุด ทำซีทีสแกนออกมาก็พบว่ากะโหลกบริเวณหูแตกร้าวทำให้เลือดออกทางหู รวมถึงมีช่องของการแตกทำให้มีลมเข้าไปในสมอง ซึ่งลมตรงนี้ค่อนข้างจะไปเบียดเนื้อสมอง คุณหมอแจ้งด้วยว่ามันอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ถ้าไม่ได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง แล้วก็จะมีเรื่องของบางส่วนที่ได้รับการกระทบกระเทือนจะมีช่วงเลือดคั่งนิดหน่อย แต่ไม่ได้ถึงกับจะต้องผ่าตัดเราก็โล่งใจไปเพราะในตอนแรกคุณหมอบอกกับเราว่าไม่แน่ใจว่าจะต้องผ่าหรือไม่ผ่า คือสถานการณ์ในเวลานั้นในห้องฉุกเฉินมันแย่มาก จากที่เราได้ฟังผลจากคุณหมอทั้งทางคุณหมอฉุกเฉินและคุณหมอเฉพาะทางทางสมองเขาก็แจ้งมาในลักษณะที่คล้ายกันคือมันวิกฤต”

“ทีนี้เราก็นึกขึ้นได้ว่าในเมื่อมียูเซปให้คนไทยใช้ เลยแจ้งเจตจำนงว่าอยากจะขอใช้สิทธิ์นี้ ทุกอย่างคุยกันก็เหมือนจะเข้าใจกันดี เขาก็พยายามจะไปคีย์ข้อมูลให้ แต่พอถึงช่วงที่กำลังจะส่งตัวกลับมาที่กรุงเทพฯ ปรากฏว่าพอเดินออกมาก็แจ้งเราว่าคนไข้ไม่เข้าเกณฑ์ยูเซป เราจะต้องจ่ายเต็มราคาจำนวน 30,000 กว่าบาท เรื่องของการหารเงินกันเพื่อให้เพื่อนได้รักษามันไม่ใช่เรื่องยาก เราหารกันได้ แต่ว่าในเมื่อเรามีสิทธิ์ก็อยากจะใช้สิทธิ์ตรงนั้น เพราะเราก็เป็นประชาชนคนหนึ่งซึ่งในยุคนี้เงินมันไม่ได้หาง่ายๆ แล้วทางญาติของผู้ป่วยเองก็ยืนยันที่จะใช้สิทธิ์”

“แต่คุณหมอบอกว่ามันไม่เข้าเกณฑ์ เราก็ไม่เข้าใจถามคุณหมอไป คุณหมอก็อธิบายว่าเกณฑ์มันมีความละเอียดของมัน ทีนี้โมก็โทรไปสอบถามทางยูเซปเลยว่าทำไมเคสของคุณภีมาภัสส์ พิมพ์นิภาภัทธกุล ถึงไม่เข้าเกณฑ์ เขาก็บอกว่าทางโรงพยาบาลเป็นคนคีย์ข้อมูลมาว่าประวัติการตรวจร่างกาย ประสบอุบัติเหตุ ได้รับประวัติจากเพื่อนว่าเล่นสเกตบอร์ดแล้วล้ม ศีรษะกระแทก ไม่หมดสติแต่สับสน มีอาการปวดศีรษะมาก ไม่อาเจียน ไม่มีอาการชา ซึ่งจริงๆ ชาไปหมดแล้วแทบจะไม่รู้ตัวแล้ว ไม่มีอาการอ่อนแรง ซึ่งจริงๆ โอ้โห! ยืนก็ไม่ไหว ลุกก็ไม่ไหว ไม่ปวดคอ ซึ่งจริงๆ ปวดมากปวดถึงขั้นโวยวายอยู่ในห้องฉุกเฉิน มีเลือดออกจากหูซ้าย จบเขียนแค่นี้จบ เขียนแบบไม่ละเอียดอ่ะค่ะ โมก็เลยเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงไม่เข้าเกณฑ์ เพราะว่าคุณหมอลงข้อมูลไม่ครบถ้วน ไม่ตรงตามความเป็นจริงสักเท่าไหร่ ที่ลงมาเนี่ยก็จริงแหละแต่มันเป็นแค่อาการเบื้องต้นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับสมองสักเท่าไหร่ แต่มันก็มีผลของซีทีสแกนที่เขาแนบมาด้วย ซึ่งอาการมันก็คืออย่างที่โมเล่าให้ฟังไปในทีแรก ดูจากสภาพการณ์ ณ ตอนนั้นแล้วมันวิกฤตจริงๆ”

“หลังจากที่คุณหมอตรวจเสร็จก็ขึ้นไปไม่แน่ใจว่าขึ้นไปพักหรือว่ากลับบ้าน โมจะเอาคนไข้ออก แต่ญาติก็ยืนยันที่จะใช้สิทธิ์ยูเซป ทีนี้มันก็เอาออกไม่ได้ ญาติไม่จ่าย ทางเราก็เลยไม่รู้จะทำยังไง เลยขอเรียกพยาบาลและคุณหมอมาประเมินอีกทีเพื่อให้คีย์ข้อมูลเข้าไปที่ยูเซปแล้วมันตรงตามเกณฑ์ โมก็มาคุยกับคุณพยาบาลซึ่งคุณพยาบาลก็เห็นพ้องต้องกันกับโมทุกอย่าง ทุกคนที่อยู่ในห้องฉุกเฉินก็เห็นว่ามันอาการหนักจริงๆ คุยกับคุณหมอ คุณหมอก็อธิบายให้โมฟังทำนองว่าแบบเกณฑ์ของยูเซปมีหลายอย่าง โมก็เลยบอกว่าโอเคคุณหมอ โมศึกษาหมดแล้วและได้คุยกับทางยูเซปแล้ว ทางยูเซปบอกว่าให้ทางโรงพยาบาลและทางคุณหมอช่วยแก้ข้อมูลในการประเมินแล้วปลดล็อก เพื่อที่ทางยูเซปจะได้รับเคสนี้

แต่คุณหมอบอกว่าคุณหมอได้พูดไปหมดแล้วคุณหมอไม่ขอลงมาเจรจา โมก็เลยถามว่าคุณหมอคะถ้าคุณหมอบอกว่าเคสนี้มันไม่วิกฤตจริงๆ ถ้าหนูไม่เอาเพื่อนมารักษาเขาจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ คุณหมอตอบมาแบบตกใจมากว่า…ครับ โมก็เอ๊ะ! ได้ด้วยเหรอ คือสภาพแบบนี้ปล่อยไปได้ด้วยเหรอ ได้ยินแบบนี้โมก็หมดคำถามและอึ้ง แล้วก็เสียความรู้สึกนิดนึงว่าทำไมคุณหมอตอบแบบนี้ในเมื่อครั้งแรกที่คุณหมอคุยกับหนูในห้องฉุกเฉินคุณหมอบอกว่ามันวิกฤตมาก จำเป็นที่จะต้องแอดมิต จำเป็นที่จะต้องนอนโรงพยาบาลในราคาที่ค่อนข้างสูง แต่พอเราขอใช้สิทธิ์อาการที่คุณหมอบอกก็ลืมเบาลง เริ่มบอกว่าไม่เป็นอะไร โมก็เลยบอกว่าถ้าคุณหมอบอกว่ามันไม่เป็นอะไรจริงๆ โมขอย้ายเพื่อนกลับเอง โมจะไม่ขอใช้รถแอมบูแลนซ์เพราะการใช้รถแอมบูแลนซ์มีค่าใช้จ่ายอีก 10,000 บาท ถ้าคุณหมอยืนยันแบบนี้ช่วยลงมาเซ็นหรือเขียนใบรับรองอะไรก็ได้ที่จะยืนยันว่าถ้าโมเอาเพื่อนกลับบ้านเองโดยรถบุคคลส่วนตัวเพื่อนจะไม่เป็นอะไร คุณหมอบอกว่าไม่ลงยังไงก็ไม่คุย สุดท้ายโมก็ต้องยอมจ่ายตังค์ทั้งหมด 32,000 บาท โดยโมเป็นคนสำรองจ่ายทั้งหมดไป”

“แล้วก็สิ่งที่สังเกตได้ว่าวิกฤตหรือไม่วิกฤตเนี่ยคือทางรถแอมบูแลนซ์โดยปกติแล้วเขาจะขับได้ประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โมไม่แน่ใจว่ามันเป็นกฎหมายของรถหรือกฎหมายของถนน แต่เขาบอกว่าเขาจะขับประมาณ 80 โมเองขับตามรถแอมบูแลนซ์ตลอดเวลา ตามเท่าไหร่ก็ตามไม่ทันเพราะว่ารถขับเร็วมาก โมก็เลยคิดในใจว่านี่มันไม่วิกฤตเหรอ ถ้าเขาขับเร็วขนาดนี้แสดงว่ามันวิกฤตนะ โมเลยมีความรู้สึกว่าโมไม่ได้รับความยุติธรรม ในเมื่อสภาพเหตุการณ์ที่เราเห็นจริงๆ เนี่ยมันวิกฤต อาการก็วิกฤต โมไม่ได้ติดใจอะไรกับยูเซปนะคะ เพราะยูเซปเขารับข้อมูลมายังไงก็ต้องวินิจฉัยไปตามนั้น ไม่เข้าก็คือไม่เข้า แต่จะเข้าหรือไม่เข้ามันอยู่ที่คุณหมอเป็นคนลงประเมินว่าอาการเป็นยังไง”

“โมมีความรู้สึกว่าคุณหมอใจร้ายตรงนี้ คุณหมอลงข้อมูลไม่ครบ ทำให้เพื่อนหนูไม่ได้รับสิทธิ์ ซึ่งโมไม่ได้ห่วงเฉพาะเพื่อนโมอย่างเดียว แต่โมมีความรู้สึกว่าคนไทยที่เขาไม่รู้ยังมีอีกเยอะมากๆ หลายคนส่งมาบอกโมเยอะมากว่าเขาไม่รู้จักยูเซปเลยจนโมโพสต์ โมอยากให้คนไทยหลายๆ คนที่ต้องยอมรับว่าสภาพเศรษฐกิจตอนนี้มันไม่ได้ดี บางคนอาการหนักกว่าเราอีกเป็นหนักกว่าเพื่อนโมเยอะแทนที่เขาจะได้รับสิทธิ์ กลับไม่ได้รับ อย่างเนี้ยโมรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับคนไทย บางคนบอกว่าถ้าเข้าโรงพยาบาลรัฐบาลอาจจะง่ายกว่า โมอธิบายตรงนี้เลยค่ะว่าไม่จำเป็นว่าจะต้องรัฐบาลหรือเอกชน ในเมื่อรัฐบาลเขาประกาศมาแล้วว่าเข้าได้ทั้งรัฐบาลและเอกชนเพราะฉะนั้นตัดทิ้งได้เลยเรื่องโรงพยาบาลรัฐหรือโรงพยาบาลเอกชน ไม่ต้องไปสนใจ เขามีสิทธิ์ที่คีย์เข้าไปเพื่อที่จะให้มันเข้าเกณฑ์กับยูเซป โมเลยอยากจะแบบไม่อยากให้คุณหมอท่านนี้ทำแบบนี้กับคนอื่นอีก”

หลังจากที่โพสต์คลิปไป มีฟีดแบ็กจากทางโรงพยาบาลหรือทางคุณหมอท่านนั้นไหม?
“หลังจากที่โมโพสต์ไปฟีดแบ็กจากทางคุณหมอหรือจากโรงพยาบาลนั้นยังไม่มีใดใดเลยนะคะ แต่มีคนที่นั่งอยู่ข้างๆ โมวันนั้นเคสเขาก็วิกฤตเหมือนกัน แล้วเขาก็ไม่ได้รับยูเซปเช่นกัน แต่เป็นคนละคุณหมอกันนะ แต่เป็นโรงพยาบาลเดียวกัน อันนี้เขาพิมพ์มาบอกโมภายหลัง แล้วก็หลายหลายคนช่วยหาข้อมูลต่างๆ จากที่โมศึกษาแล้วจากที่ดูอย่างละเอียดแล้วดูยังไงมันก็เข้ายูเซปอ่ะค่ะ โมก็ไม่ทราบว่ามันเกิดจากอคติของคุณหมอหรือเปล่าที่เห็นพวกเราเล่นสเกตบอร์ด แล้วพวกเราไม่ป้องกัน แต่อยากจะบอกว่าความรู้สึกเหล่านี้มันคือความรู้สึกส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการรักษาและการประเมิน เพราะฉะนั้นมันควรจะแยกแยะกัน

ในเคสของเพื่อนโม โมบอกเลยว่าถ้าเพื่อนตายก็สมควร แต่เนี่ยเขาไม่ตายไงคะ ในเมื่อเขาไม่ตายเราจะช่วยกันยังไงได้บ้าง อันนี้ที่โมรู้สึกว่ามันสำคัญกว่า อย่างกรณีเพื่อนโมถ้าฟื้นมาหายเป็นปกติคือด่าชุดใหญ่แน่ๆ เราก็ไม่ได้ปฏิเสธในความประมาท ส่วนนี้ก็ยอมรับผิด แต่ว่าน้ำใจของคุณหมอเราหาไม่เจอ เราสัมผัสไม่ได้ มันทำให้เราเสียใจ แล้วก็เสียใจแทนคนที่มีหลายเคสมากที่เขาส่งมาบอกเราว่า เขาก็วิกฤตเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้รับสิทธิ์ยูเซปจากโรงพยาบาลเอกชนหลายๆ ที่”

กลัวไหมกับการออกมาพูดแบบนี้ ทางโรงพยาบาลและคุณหมอจะมองว่าเป็นการหมิ่นประมาทหรือเปล่า?
“กรณีนี้โมก็คิดเหมือนกันก่อนที่จะโพสต์ คือคิดแล้วว่าจะโดนหมิ่นประมาทหรือเปล่า ถ้าคิดว่าโมจะหมิ่นประมาทโมมีหลักฐานหมดเลย โมก็ไม่รู้ว่าโมหมิ่นตรงไหน โมบีใบเสร็จรับเงิน ใบรับรองแพทย์ตัวจริง มีผลซีทีสแกนตัวจริง มีฟิล์มเอกซเรย์ แล้วโมก็มีพยานอยู่ทั้งห้องฉุกเฉินเลย รวมถึงเพื่อนโมทั้งกลุ่มก็เป็นพยาน พยาบาลที่นั่นก็เป็นพยานได้โมจดชื่อมาหมดแล้วทุกคน โมจดทั้งชื่อคุณหมอ ชื่อคนคีย์ข้อมูล ชื่อคนที่ให้ข้อมูลจากทางยูเซป ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นโมก็เลยไม่รู้ว่าถ้าคุณหมอจะมาฟ้องหมิ่นประมาทโมมันด้วยเรื่องอะไรในเมื่อโมก็เล่าตามเนื้อผ้าไปจริงๆ แต่สมมติว่าถ้าคุณหมออยากจะฟ้อง ฟ้องมาเถอะค่ะ โมไม่มีตังค์จ่าย โมไม่มีอะไรจะให้จริงๆ”

สรุปว่า ณ ตอนนี้คือไม่ได้สิทธิ์โครงการยูเซป แต่หลังจากนี้จะมีการอุทธรณ์ได้ไหม?
“โมปรึกษาทางยูเซป แล้วก็จะมีพี่ของทางหน่วยงานหนึ่ง แนะนำโมมาว่าให้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดไปอุทธรณ์ที่สำนักงานเขาได้ แล้วเดี๋ยวเขาจะตั้งกรรมการสอบประเมินอีกครั้งหนึ่งว่าผลของอาการมันไม่ตรงกับเกณฑ์จิงหรือเปล่า ซึ่งโมก็จะทำและสู้มันอย่างเงียบๆ ค่ะ”

แสดงว่ายังมีความหวังอยู่ว่าเพื่อนน่าจะได้รับสิทธิ์นี้อย่างที่เราคิด?
“มันควรจะได้อ่ะค่ะ ประชาชนคนอื่นก็ควรที่จะรับรู้ว่าตัวเองควรจะได้เช่นกัน โมจะเรียกร้องสิทธิ์นี้ให้คนทั้งประเทศ”

อัพเดตอาการเพื่อนรุ่นพี่ของเราตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?
“ตอนนี้คือออกจากห้องไอซียูแล้ว มาอยู่ห้องปลอดเชื้อแทน ซึ่งจะเป็นห้องรวม เขาก็ใช้ประกันสังคมตามสเต็ปอะไรของเขาไป อาการก็คือหลังจาก 2 วันเพิ่งจะพูดคุยรู้เรื่อง 2 วันแรกคือถามคำตอบคำ ประเมินช้า ไม่เข้าใจ ตอบได้น้อยมาก ร้องแต่ว่าปวดหัวๆ ถามว่าเต็ม 10 เนี่ยปวดระดับไหน เขาบอก 7-8 ทุกวัน พอพูดคุยขึ้นได้ก็ถามว่าเขาจำอะไรได้บ้างมั้ย เขาจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ หมอก็เลยแบบเนี่ยมันไม่วิกฤตเหรอ ต้องไปเปิดคลิปให้เขาดูและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง เขาถึงจะแบบโห! มันขนาดนี้เลยเหรอ เขาไม่รู้ว่าตัวเองล้มไปแรงขนาดนั้น แต่ตอนนี้ก็ถือว่าปลอดภัยแล้ว จริงๆ ก็ต้องขอบคุณทางโรงพยาบาลทั้งต้นสายและปลายสายด้วยแหละค่ะที่ประคับประคองให้”

ยืนยันเจตนาที่ออกมาโพสต์คลิปเพื่อต้องการเรียกร้องความยุติธรรมใช่ไหม?
“ใช่ค่ะ อยากเรียกร้องความยุติธรรมให้ทั้งตัวเพื่อนและคนในประเทศไทยที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์น่ะค่ะ อย่างบางคนน่าสงสารจริงๆ มีเคสหนึ่งที่ส่งมาบอกโมว่าลูกเขาไม่สบายเป็นอะไรสักอย่างจำไม่ได้แล้ว พอคุยกันไม่รู้เรื่องเรื่องยูเซป ปล่อยเวลาไว้นานสุดท้ายลูกเขาเสียชีวิต น่าสงสารมากเลย จะต้องแลกด้วยชีวิตเลยเหรอ ไม่รู้สิโมมีข้อสงสัยเยอะกับการประเมินแบบนี้”

พูดง่ายๆ คือเป็นเจตนาที่ดี ไม่ได้จะทำลายชื่อเสียงหรือโจมตีใครใช่ไหม?
“เจตนาของโมคืออยากเรียกร้องความยุติธรรมเท่านั้นเอง ไม่ได้อยากจะโจมตีหรือทำร้ายใคร ตรงนี้พูดเลยจริงๆ”

ในเรื่องของความประมาทส่วนบุคคลคือยอมรับตั้งแต่ต้น แต่มันไม่เกี่ยวกันกับเรื่องการรักษาใช่ไหม?
“ใช่ค่ะ เรื่องความประมาทเรายอมรับ แก้ตัวอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการรักษา ฉะนั้นมันก็ต้องช่วยกันในทุกๆ ฝ่าย แล้วก็ต้องช่วยกันในแบบตรงไปตรงมาด้วย ต้องไม่ใช้เหตุผลหรืออคติส่วนตัวในการตัดสินการประเมินเลย”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน