ปิ๋ม ซีโฟร์ เผยสิ้นสุดการรอคอย ลุงพล โดนจับ เดินหน้าฟ้องเอฟซี

ตอนนี้คนที่เคยอยู่ใกล้ตัว ลุงพล ต่างก็ถูกจับตาว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ นักร้องสาว ปิ๋ม ซีโฟร์ ที่เคยมีปัญหาเรื่องการทำงานกัน ครั้งที่ให้ ลุงพล มาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า ถึงขนาดไม่ร่วมงานกันอีก

ผู้สื่อข่าว ข่าวสดออนไลน์ ได้สัมภาษณ์นักร้องลูกทุ่งสาว หลังจากทราบข่าวว่า ลุงพล ถูกตำรวจออกหมายจับคดีฆ่าน้องชมพู่ ที่ยืดเยื้อมาร่วมปี

“เมื่อคืนทราบข่าว จากการดูทีวีตอนประมาณ 4-5 ทุ่ม รู้สึกช็อก เฮ้ย! จริงเหรอ น่าจะรู้สึกเหมือนคนไทยหลายๆคนทั่วประเทศ วันนี้ที่รอคอย สิ้นสุดการรอคอยแล้วจริงๆ ต้องขออนุญาตยืนปรบมือให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านเลย เจ้งจริง เราก็คิดว่าเหตุการณ์มันผ่านมาเป็นปีๆ แล้ว หลักฐานอาจจะหาไม่ได้หรือเปล่า มันจะมีหลักฐานเหรอ จะจับได้เหรอ ในที่สุดตำรวจไทยก็จับได้ แล้วก็ออกหมายจับ ส่วนตัวเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คงมีหลักฐานที่หน้าแน่นอนพอที่จะจับกุมเขาได้ ถึงได้จับ พอดูข่าวจบ คนแรกที่โทรหา ก็โทรไปหาพี่อัจ ก็คุยๆกัน พี่เขาบอกว่าเขาน่าจะโดนจับตอนเช้า

แต่ตั้งแต่เช้าก็ไปโรงเรียนลูก ไปซื้อหนังสือลูก แล้วนักข่าวก็ติดต่อมาคุยกันตั้งแต่ 9 โมงเช้า ยังไม่ได้หยุดเลย โอเคเราอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา แต่เราเคยร่วมงานกับเขา ทุกคนอยากจะมาถาม ก็อยากที่เรียนค่ะ ดีใจกับครอบครัวของน้องชมพู่ ที่ตำรวจสามารถจับตัวผู้ต้องหาได้

พูดถึงเรื่องส่วนตัวอดทนมาเกือบปี หลังจากที่ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว มีแฟนคลับ มีเอฟซีของเขามาด่าว่าเรา ทั้งทางส่วนตัว ทางเพจต่างๆ แล้วในที่สาธารณะต่างๆ ที่เราสามารถจะแคปไว้ได้ แล้วเราก็ไม่เคยตอบโต้เขา อดทนมาจนถึงวันนี้ ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงถึงความรู้สึกนั้น ได้แค่โพสต์ว่าสิ้นสุดการรอคอย

การรอคอยของเรา จบส่ะทีนะ มันก็จะเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนไทย ที่เกิดความรักมาก กับคนที่เราไม่รู้จักมาก่อน มันก็น่าจะเป็นอุทาหรณ์ที่ดีมากๆว่า เห็นแต่ตามันไม่พอ เห็นแต่ใจมันก็ยังไม่พอ มันต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ว่าตัวตนของเขาเป็นอย่างไร วันนี้เชื่อว่าหลายๆคนคงได้รู้แล้ว

เราต้องใช้คำว่าอดทนจริงๆค่ะ เราได้แค่แคปในส่วนที่มีคนด่า คนว่าเรา เราก็ยืนยันว่าเราจะดำเนินคดี และเราก็จะขออนุญาตไปหาถึงที่บ้านในบางท่าน ไปที่ทำงานเป็นบางท่าน ขออนุญาตอธิบายให้เข้าใจว่าสิ่งที่ท่านว่าปิ๋ม มันไม่ใช่เลย แล้วท่านพูดแบบนี้มันคือการกล่าวหา มันคือการว่าร้ายกัน โดยที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน ถ้ารู้จักปิ๋ม แล้วเราเป็นเช่นนั้นจะไม่ว่าเลย แล้วที่สำคัญคนที่ว่าบปิ๋มก็ไม่รู้จักตัวตนของคนที่ตัวเองเชียร์อยู่ด้วยซ้ำ เลยอยากบอกว่ามันเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนไทย ที่มีนิสัยขี้สงสาร รักมาก มาเป็นพิเศษ และขออนุญาตอธิบายเรื่องส่วนตัวที่ได้ทำงานกับเขา สาเหตุที่ได้ไปทำงานกับเขา

ในฐานะที่เราเป็นนักประชาสัมพันธ์ ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์สิ้นค้า ในฐานะพีอาร์ เราก็ตต้องเลือกคนที่จะมาทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เป็นคนที่มีกระแสและมีคนติดตามเยอะมาก วิธีนั้นต้องยอมรับว่าต้องเป็นเขา เป็นคนอื่นก็คงเป็นไปไม่ได้ เราขอพูดในส่วนของการทำงานเท่านั้น เราจะพูดตลอดว่าเกี่ยวข้องกับเขาเรื่องการทำเท่านั้น ส่วนอื่นๆเราไม่ได้เกี่ยวข้อง

ขอแชร์ประสบการณ์ตอนที่ไป บ้านกกกอก ได้มีโอกาสไปบ้านกกกอก 3 ครั้ง มานั่งนึกย้อน ทุกครั้งมีปัญหาหนักมากทุกครั้ง อาจจะเป็นความเชื่อส่วนตัว ไปครั้งแรกเราเดินทางไปแห่ขันหมากเพื่อทำพีอาร์สินค้า มันเป็นปัญหาหนักมาก เรานัดเขา 10 โมง อยู่ๆ เขาหายตัวไป ไม่รู้หายไปไหน

เราก็คิดว่าเรามาเจ้าป่าเจ้าเขาเขาไม่อาจจะไม่รู้ว่าเรามาหรือเปลา นักข่าวหลายคนวันนั้น จะเห็นว่าเราเดินไปกราบดินขออนุญาต ขอน้องชมพู่ ขอเจ้าที่เจ้าทาง เรื่องราวก็ผ่านไปด้วยดีในวันนั้น

ครั้งที่ 2 ไปรำถวายเต่างอย วันนั้นก็มีปัญหาอีกเช่นกัน หลังจากรำเสร็จ เรานัดเขาที่บ้านเพื่อไปไลฟ์สด เขาหายตัวไปอีกแล้ว ไปไหนอีกค่ะ บอกว่าจะไปเปลี่ยนยางรถ อ้าว ลูกค้ามารอหน้าบ้าน คำว่าลูกค้ามารอหน้าแค่ 1 นาทีก็ไม่ดีแล้ว เขาก็หายไปเลยไม่ยอมมา เราก็ให้นักข่าวที่นั้นโทรตามเขา รอประมาณ 1-2 ชั่วโมง เรารอไม่ได้ เพราะเราต้องเดินทางลงจากเขา เพื่อไปขึ้นเครื่องบิน

ก่อนที่จะขึ้นเครื่อง เขาได้โทรมาที่โทรศัพท์ส่วนตัวขอเรา ซึ่งเรื่องนี้เราไม่โอเค เราได้สอนในฐานะที่เป็นเพื่อนเขาด้วย เขาก็ฟังอย่างเดียว พูดแค่ครับๆ เราสอนเขาอยู่ประมาณ 20 นาที แล้วอยู่ๆ เขาก็บอกปวดหัวแล้วก็วางสาย นั้นคือครั้งสุดท้ายที่คุยกับเขา

 

ครั้งที่ 3 เดินทางไปที่กกกอก เพื่อให้เขาไลฟ์สดหน้าบ้านมันเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขา ไม่ทำงานนี้อีกแล้ว พอเครื่องบินจอดปุ๊บ เราก็เปิดโทรศัพท์ เราก็เห็นข้อความที่บางท่านโพสต์ด่าว่าเรา กล่าวหาเราที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นจริงสักเรื่อง เราเข้าใจว่าเขาคงโกรธแค้นเรา

เรื่องทำงานหรือเปล่าเราไม่ทราบ แต่ท่อนสุดท้าย เขาได้กล่าวถึงชีวิตปิ๋ม เมื่อ 20 กว่าปีก่อนที่เคยถูกทำร้ายอย่างไรบ้าง สมน้ำหน้า รับไม่ได้ ทุกคนที่อยู่วันนั้นเห็นว่าปิ๋มช็อค แล้วก็เป็นลม ทำงานไม่ได้ เพราะปิ๋มเดินหนีเรื่องนี้มาไกลมาก 20 กว่าปีพยายามที่จะลืม หอบลูกหนีมา ไม่พูดถึงอีก สุดท้ายคนนี้ขุดขุ้ยมา เป็นเรื่องที่รับไม่ได้

เรื่องงานสู้ตาย แต่เรื่องนี้เราไม่อยากพูดถึง รู้สึกว่าเราแค่มาทำงานกับคนคนนี้ทำไมปัญหามันเยอะขนาดนี้ แล้วเราก็ถอนตัวจากตรงนั้น หลังจากนั้นก็มีเอฟซีรุมด่าว่าเรา เราก็แคปไว้หมด เดี๋ยวเราคงได้ไปทำความเข้าใจกัน

ความเชื่อส่วนตัว เราไปที่นั้น 3 ครั้ง ครูบาอาจารย์เขาพยายามทักเราหรือเปล่า เพราะว่าไปทั้ง 3 ครั้งมีปัญหาทั้ง 3 ครั้ง มานั่งนึกหรือว่า ครูบาอาจารย์เราเขากำลังทักให้เราหยุด ให้ถอยออกมา ดีแล้วค่ะ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขา พยายามถอยมาไกล นิ่งที่สุด”

พอเราได้ยินว่าเขาโดนหมายจับ ความรู้สึกตอนนั้น มันเป็นแบบไหน มันใช่อย่างที่เราคิด หรือมันเป็นได้ยังไง?

“คำว่าเป็นไปได้ยังไง มันไม่มีในสมองเลย ตลอดเวลาที่ทำงานกับเขา มันมีความเอ๊ะ มีเครื่องหมายคำถามตลอดเวลา ในการสังเกตุของเรา ถ้าเราเป็นเขา เราโดนกล่าวหา เราจะสู้จนตาย สู้ใจขาด กับเงียบที่สุด แต่อันนี้ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง และทุกครั้งที่เจอ มันก็จะมีคำพูดระหว่างผัวเมีย ที่เขาพูดกันเอง หรือพูดลอยๆ พูดกับเรา เพื่อสื่อให้เราคิดว่าเขาบริสุทธิ์

 

อันนี้คือเรียบเรียงเรื่องราวที่ผ่านมา มันมีคำพูดว่า “ก็เราไม่ผิด ทางโน้นอย่างนั้น ทางโน้นอย่างนี้ น้องเขาช่วยเรานะ เพราะว่าเราเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กๆ” เราจิตอ่อน ขนาดหลายคนไม่เคยเจอเขา ยังรักเขา คลั่งไคล้เขา แล้วเราเจอเขา ได้โต้ตอบกัน เราก็เริ่มเชื่อว่าเขาคงไม่ใช่ สุดท้ายแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจเก่ง”

เหตุการณ์ครั้งนี้มันสอนอะไรเรา? “อุทาหรณ์สำหรับตัวเองเฉยๆ เพราะว่าเราไปทำงาน เราเลือกพรีเซ็นเตอร์ที่มีกระแส ในส่วนอื่นๆ เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่มันมีคำของไทยที่ว่า รู้ว่าตรงไหนมันเหม็นก็อย่าไป รู้ว่าตรงไหนมันเน่าก็อย่างไปใกล้ เราก็จะได้ไม่มีกลิ่นไปด้วย”

แล้วก็เป็นอุทาหรณ์ให้กับคนไทยที่คลั่งไคล้ทุกคนนะคะ มีสติ สติ คำถามคนที่โอนเงินไปให้เขา ยังไงเล่าซิ เสียดายมั้ย เล่าซิ โอนเงินไปให้เขานิ่ เล่าซิ”

ขอบคุณรูปจาก : prim_c4_195

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน