เรียกได้ว่าเป็นยูทูบเบอร์ขวัญใจของใครหลายคน สำหรับ ฟลุ๊ค กะล่อน นางแบบ Transgender เอกลักษณ์เด่น ที่มักจะออกมาเป็นกระบอกเสียงเรียกร้องสิทธิเพื่อสังคมอยู่เสมอ

ล่าสด เธอได้ให้สัมภาษณ์กับ ข่าวสดออนไลน์ หลังจากลงถนนไปร่วมม็อบ #18กรกฎา วิ่งหนีความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างร่วมม็อบ ล่าสุดไปร่วมม็อบ 18 กรกฎาเห็นในไอจีสตอรี่ วิ่งหนีเสียงดังคล้ายเสียงปืน

เอาจริงๆ หนูไปม็อบครั้งแรกค่ะ ต้องบอกว่าตกใจมาก คือเอารถไปเอง ตอนไปถึง ไปจอดที่ข้าวสาร แล้วได้ยินเสียง ปึ้งปั้ง ปึ้งปั้ง เยอะมาก

เกิดคำถามว่า เรากำลังมาทำอะไรเนี่ย นี่คือการมาเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล ที่ทุกคนมีสิทธิ์จะทำได้ และเรียกร้องอยู่ในขอบเขต

ทุกคนไม่ได้มีอาวุธ ทุกครั้งที่มีการชุมนุม เราจะไม่ได้ไป ก็จะเห็นว่ามีคนโดนยิง แต่ไม่ได้คิดว่าของจริงจะน่ากลัวขนาดนี้ คือน่ากลัวมาก

คือที่ผ่านมาเราติดตามการเคลื่อนไหวอยู่ที่บ้านตลอด เหมือนเป็นแบล็คอยู่บ้านตลอด มีอะไรก็จะอัพเดทให้ทุกคนดูตลอด

ฟลุ๊คผู้ไม่เคยเงียบ “ต้องบอกก่อนว่า ที่บ้านหนูหนูไปชุมนุมกันตั้งแต่สมัยหนูเด็กๆ หนูก็ไปด้วยตั้งแต่เด็กเมื่อ7-8ปีที่แล้ว หนูก็ยังมีรูปไปชุมนุมใส่เสื้อสีแดงตั้งแต่ตอนนั้น

เราก็ฟังฝั่งครอบครัวและเราก็มีความเชื่ออย่างนั้นมาตลอด จนปัจจุบันมันมีหลายคนที่ได้เปลี่ยนความคิดที่ทุกคนได้เรียกร้องอยู่ในตอนนี้ ก็คือไม่เคยเงียบจริงๆ ย้อนไป 7-8ปี ก็ยังเหมือนเดิม

 

 

คือเด็กรุ่นใหม่ ที่ถูกกดดัน ถูกเอาเปรียบ ถูกยึดอำนาจสิทธิ์ที่มันเป็นอำนาจประชาธิปไตยของทุกคนไป เค้ารวมกันขึ้นมาเรียกร้อง เราก็รู้สึกว่า เราก็เป็นคนเป็นหนึ่งในคนที่อยากจะออกมาเรียกร้อง

เราไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการตัดสินใจว่า ทำไมต้องทำ ไม่ได้คิดอย่างงั้น แต่ทุกคน ต้องทำเพราะว่ามันไม่ใช่แค่คนที่มาเรียกร้องแล้วมันได้ แต่มันได้ทั้งหมด

ถ้าเราชนะ ทุกคนได้เหมือนกันหมด ได้สิ่งที่ถูกต้องเหมือนกันหมด ก็เลยออกมาพูดเหมือนที่ทุกคนควรที่จะทำ

จุดยืน คือการออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย สิ่งที่เราโดนมา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง 7 ปีที่ผ่านมา หรือการบริหารที่ผ่านมาของรัฐบาลล้มเหลวต่างๆ แล้วข้อเรียกร้องต่างๆที่เค้าเรียกร้องกันเราเห็นด้วยหมดทุกข้อเลย

ถ้าถามว่าอยากพูดอะไรถึงรัฐบาล ฟลุ๊คเผยว่า เอาจริงๆ มีคนพูดตลอดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ดีหรือหยาบคาย มีคนบอกเยอะแล้ว มันเป็นสิ่งที่มันต้องทำอยู่แล้ว แต่ว่าเค้าไม่ทำ หนูก็ไม่ทราบว่าทำไม

การบริหารที่มันล้มเหลวได้ขนาดนี้ ในเมื่อทุกเสียงเรียกร้องเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนที่เป็นผู้ใหญ่ ที่เค้าอยู่ฝั่งเรา เค้าก็ออกความเห็นอธิบายว่า สิ่งที่ทำตอนนี้คืออะไร เค้าก็ไม่ทำไม่เคยเห็นหัวประชาชน

รู้สึกว่าพูดไปมันก็เท่านั้น แต่เราก็จะไม่หยุดพูดนะ เพราะว่าหนูเชื่อว่าเสียงทุกเสียงที่ออกมาพูดมันจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย

การจัดการบริหารเรื่องวัคซีนที่หลายหลายคนพูดกันตอนนี้ เรามีความเห็นว่า อย่างที่ทุกคนทราบกันว่า หลายประเทศที่เปิดแล้วเค้าได้วัคซีนทางเลือกทุกอย่างฟรีหมด ไฟเซอร์ โมเดอร์นา ที่เค้าฉีดแล้วมีภูมิคุ้มกันจริงๆ สามารถถอดแมสก์ในที่สาธารณะได้จริง

แต่รัฐบาลยังบอกว่า ซิโนแวค ซิโนแวคตลอด ซึ่งคนที่คนที่ฉีดซิโนแวคครบ2เข็มฉีดแล้วตายก็มี หรือบุคลากรทางการแพทย์ก็ตาม ที่เค้าฉีดครบสองเข็มแล้วเขาก็ไม่ปลอดภัย

ควรเอาวัคซีนที่ประชาชนมีสิทธิ์เลือกไม่ใช่เลือกว่าจะฉีดหรือไม่ฉีด แต่เลือกว่าจะฉีดตัวไหน

“ตอนแรกหนูไม่เคยคิดเลยว่าการออกมาCall Out แล้วจะไม่มีงาน เพราะตอนแรกก็มีงาน ลูกค้าที่ติดออกต่อมาแล้วเค้าชื่นชมขอบคุณที่เรา ก็จ้างงานเราค่อนข้างเยอะ

แต่ว่ามันมีการยกเลิกงานจริงๆค่ะ ต้องบอกเลยว่าหนูอ่ะตกใจ แอบเสียดายแต่ไปหลายงาน แต่ว่าแต่เราก็ยังยืนยันจุดยืนของเราชัดเจน เราไม่สนใจ

ถามว่าในเรื่องของงานเสียเยอะมาก ปกติหนึ่งเดือนจะรับไม่เกิน 10 ตัวอยู่แล้ว แต่ว่าแต่ตั้งแต่มาCall Out มีมาไม่ถึง5ตัว

แล้วการแคนเซิลงานคือบางงาน พร้อมหมดแล้ว ก็โดนคนจ้างบอกว่า พอดีมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย ยกเลิกไปก่อน จะมีคำนี้ตลอด

ซึ่งเราก็ยินดี เราก็ไม่ได้อยากจะถามหาเหตุผลอะไร เราก็น่าจะรู้ว่ามันมาจากเรื่องอะไร แต่ถามว่าหยุดมั้ย เราไม่เคยหยุดเลย เพราะเรารู้สึกว่า สิ่งที่เราทำ คือสิ่งที่ถูกต้อง เราควรที่จะทำต่อ

อย่างที่บอก ว่าการรัฐประหารมันเหมือนเป็นการทำให้ประเทศไม่เจริญ แถมถอยหลังไปอีกด้วยซ้ำ 5ปี 10 ปี ด้วยซ้ำ

ซึ่งในหลายประเทศ เค้ายกเลิกการรัฐประหารไปแล้ว แต่เรายังมีอยู่ แล้วการทำแบบนี้มันเป็นการสืบทอดอำนาจมากๆ

อย่างการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่มีการเลือกตั้งจริงๆก็เห็นได้ชัดเจนว่า แต่ละเขตบางพื้นที่บัตรที่นับคะแนนออกมามันเกินจำนวนของคนที่มาใช้เสียงจริงๆ

อย่างคนมา 1000 คน มีเสียงมา 3000 เสียง สุดท้ายก็สรุปไม่ได้ว่ามาจากไหน ในเรื่องของสว.อีก 250 เสียง ทุกอย่างมันมาจากพรรคพวกทั้งนั้นเลย มันเป็นการสืบทอดอำนาจที่ยึดอำนาจของเรา

เราอาจจะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นในก่อนช่วงเกิดโควิด มันอาจจะเป็นเหมือนการรัฐประหาร ทหารมาเป็นใหญ่ แต่จริงๆแล้วที่ผ่านมา7ปี เค้าพยามยึดอำนาจเราทุกอย่าง

 

กดให้เราจนแล้วก็มาแจกเงิน กดให้เราจมแล้วก็มาปกครอง มันคือสิ่งที่เค้าค่อยๆมาเรื่อย แล้วมันมาชัดมากๆตอนโควิด ทำให้ทุกคนเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถบริหารอะไรได้เลย

เอาแค่ตรวจโควิด หนูอยากตรวจโควิดเพื่อความสบายใจ ไม่ได้เสี่ยง หนูพร้อมจะเสียตังค์ ยังหาที่ตรวจยากมากๆ

แล้วไม่นับคนที่เขาไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะไปตรวจ 3-5พัน เค้าต้องไปนั่งตรวจฟรีแล้วต้องนั่งรอข้างถนน ข้างบีทีเอส ตามบันได หนูอยากรู้ว่า เค้าเห็นภาพแล้วเค้ารู้สึกยังไง กับการที่เค้าบริหารแบบนี้

ซึ่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างก็เงียบไป คือมันทำให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มันล้มเหลวในการบริหารจริงๆค่ะ”

หลายคนยกให้เราเป็นขวัญใจ “พอคนมีชื่อเสียงหลายๆ คนเค้าไม่ได้ออกมาพูดแล้วมีคนออกมาพูดไม่กี่คน เลยทำให้คนมาชื่นชมคนที่ออกมาพูด

แต่ไม่ใช่ว่า ไม่ควรจะชื่นชมนะ แต่ฟลุ๊คว่ามันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะกระทำมากกว่า เพราะคนมันทำน้อยกลัวกันในเรื่องของงานโฆษณา

ฟลุ๊คคิดว่าให้ทุกคนออกมาทำเหมือนกันหมด มันก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัดมากขึ้น และก็ไม่หยุดคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องจริงๆ

แล้วเราก็ไม่ได้เป็นคนฟังความฝ่ายเดียว เราก็ดูการที่เรามองเห็นด้วยตาตั้งแต่ก่อนโควิด มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากทางเท้าหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าว แล้วก็คลองโอ่งอ่าง สองที่ นอกจากนั้นมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”

คนเห็นต่างมองว่า การออกมาทำแบบนี้ เป็นการทั้งชาติ “หนูมาว่าทุกคนเท่ากันค่ะ ไม่ว่าจะใครก็ตาม ทุกคนเหมือนกันหมด มันพูดยากมันเป็นความละเอียดอ่อนมากๆ

หนูรู้สึกว่าประชาชนก็คือประชาชน แล้วสิ่งที่คุณทำอยู่คือประชาชนกำลังจ่ายภาษีจ้างคุณทำงานอยู่

คุณต้องนึกก่อนว่าที่คุณกินเงินเดือน รถหรูประจำตำแหน่ง มันคือภาษีของเราทั้งหมด ก็จะทำอะไร คุณน่าจะนึกถึงว่าประชาชนที่เค้าจ้างคุณทำงานอยู่ ณ ตอนนี้

ตั้งแต่มีการยึดอำนาจขึ้นมาเป็นรัฐประหาร การตอบนักข่าว ไม่เคยมีครั้งไหนที่ได้ความรู้ได้ประโยชน์จากการตอบเลย

ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนทำแบบนี้มาก่อน ไม่เคยตอบได้สาระขนาด ขนาดอ่านสคริปต์ยังอ่านไม่รู้เรื่อง มีแต่ย้อนถามนักข่าวกลับว่าใช่ไหม ทำไม ไม่เคยได้คำตอบว่าคุณจะแก้ปัญหายังไงดี”

 

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน