อดีตนางงาม “ปูดำ สรารัตน์” สุดช้ำ! ถูกคำนินทาทำลายทั้งชีวิต โดนตราหน้าเป็นภรรยาลับ ความรักผิวหวังล้มเหลวถูกหลอก เร่งสะสมบุญ พร้อมตายทุกเมื่อ

เปลือยชีวิตนางงาม นักแสดงรุ่นใหญ่ ปูดำ สรารัตน์ ยังเปิดใจเรื่องความรักแต่ขอคนพร้อมดูแล โดนคำนินทาทำร้ายมาทั้งชีวิต ถูกตราหน้าหาว่าเป็นภรรยาลับมาตลอด ยอมรับเบื่อคน เบื่อชีวิตเคยคิดฆ่าตัวตาย ชีวิตนี้ต้องเร่งสะสมบุญ เตรียมตัวพร้อมตายทุกเมื่อ โดยเจ้าตัวมาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บ show ทางช่อง วัน31 ที่มีธัญญ่า ธัญญาเรศ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

ทำไมถึงไม่ออกงานสังคม เพราะเจ็บช้ำจากคำนินทา? “พี่มีความรู้สึกว่าสังคมคนเราถ้าอยู่เกินสองสามคนขึ้นไปมันจะเริ่มสนทนาเรื่องคนอื่น บางอย่างไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นเรื่องจริง เรื่องเท็จ แล้วมักจะถูกแอบอ้างชื่อไปในสถานการณ์ต่างๆ เรามีความรู้สึกว่าเราก็เป็น คนอื่นก็เป็น ถ้าเกิดเขาเป็นแล้วเขาอยู่ในวงการ เขาก็ยังมีโอกาสแก้ แต่อย่างพี่อาจจะไม่ได้มีงานทุกวัน บางทีพี่ก็รู้สึกว่ามันน่ารำคาญถูกดึงชื่อเราไปแล้วเอาไปใช้ ก็เลยรู้สึกว่าเก็บตัวดีกว่า แล้วให้คนที่เขาวิพากษ์เราให้เขาคาดเดากันต่อไป เราผิดเองที่เราไม่ได้ทำตัวชัดเจน”

เห็นว่ามีนินทาว่าเป็นภรรยาลับบ้าง ซึ่งตอนนั้นพี่ปูเองก็เคยบอกว่าเคยเลือกเดินทางผิด เลือกคนผิด? “ตอนสมัยที่ประกวดนางงาม แล้วมีชีวิตที่พีกสุดๆ ก็มีบุคคลให้เลือกมากมาย เข้ามาให้เลือกทุกอาชีพ แล้วเราก็คิดว่าบุคคลที่เราเลือกเป็นคนสุดท้าย เป็นคนที่เราตัดสินใจเลือกแล้ว แต่พอเราเลือกไปแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง จนมาสักระยะเรารู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว เริ่มเสียเวลา เสียโอกาสชีวิตแล้ว เพราะเรากลับไปเป็นรองนางสาวไทยไม่ได้แล้ว กลับไปเป็นรองมิสเอเชียไม่ได้ แต่ตอนนั้นใครๆ ก็เข้ามาหาเราเยอะแยะมากมาย แต่เราไม่เลือก แต่พอเราเลือกกลับกลายเป็นเลือกผิด”

เหตุผลอะไรที่ทำให้คิดว่าพี่เลือกผิด? “ตอนแรกก็ไม่ทราบหรอกว่าเลือกผิด ก็เชื่อในคำพูด ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาหาเรา ก็จะมีคำพูดที่จะทำให้เราศรัทธา พอเราเลือกแล้ว เราถึงได้รู้ว่ามันผิด และเมื่อจะเฟดตัวออกมาโอกาสมันหายไปแล้ว”

มันเกี่ยวกับนิสัยของเขาด้วยไหม? “เราก็ไม่ได้ว่าเราดี ผู้หญิงไม่มีใครอยากจะเปลี่ยนคู่ชีวิตหรอก แต่พอไม่ใช่ ไม่ได้แบบที่ให้สัญญา มันก็ต้องจบกันไป แล้วเราก็ต้องมานั่งเริ่มต้นชีวิตใหม่ และอยู่ที่ว่าก่อนที่เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่มันผ่านวัยที่เราประสบความสำเร็จในชีวิตมานานแค่ไหนแล้ว มันเสียเวลา”

เสียเวลากี่ปีกับคนๆ นี้? “3-4 ปี จนกระทั่งตัวเองมีโอกาสเดินทางไปเรียนที่อังกฤษอยู่ 2 ปี แต่มันก็มีความผูกพัน กลับมาก็คุยกันต่อ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่”

ตอนนั้นที่เราคิดว่าไม่ใช่เราบอกเขายังไง หรือเราเฟดตัวไปเลย? “ยัง จริงๆ มันอยู่เป็นครอบครัวแล้ว กว่าจะรู้ว่ามันไม่ใช่มันก็ประกอบด้วยหลายอย่าง องค์ประกอบตั้งแต่ถูกก่อกวน ทั้งที่เราดูเป็นนางมารร้ายมาก แต่ชีวิตจริงๆ เราค่อนข้างเป็นนางเอกมาก โทรศัพท์ที่บ้านเราต้องดึงปลั๊กออก มีคนโทรมาก่อกวน รังควานตลอดเวลา แรกๆ ตอนเราเป็นที่รัก การปกป้อง การช่วยเหลือ การเชื่อฟังมันมี แต่พอมัน 1-2 ปีเราเริ่มรู้เลยว่าสิ่งที่เราบอก สิ่งที่เราต้องการความช่วยเหลือ มันกลายเป็นเท็จมั้ง มันใช่ มันไม่ใช่ มันเริ่มมีความสงสัย มันเริ่มรู้เลยว่าสิ่งที่เราผิดพลาด มันเริ่มอย่างที่ใครเขาบอกจริงๆ เหมือนกับเราได้ยินมาจริงๆ แต่ตอนที่เราได้ยินเราไม่เชื่อ เราเชื่อคนของเรา”

ในที่สุดเราก็เดินออกมาจากตรงนั้น? “ถูกต้อง”

ตอนนั้นหนุ่มๆ รุมขายขนมจีบเยอะมาก? “จริงๆ แล้วส่วนใหญ่นางงามกับสายดารามันคนละฟิลกัน อย่างดาราก็จะเป็นฟิลลูกคุณหนู แต่อย่างพี่ก็เป็นแบบผู้ใหญ่ ก็จะมายื่นข้อเสนอ ให้ได้ทุกอย่างเลย อยากกินอะไร”

เห็นว่ารายเดือนหลักล้านเลยเหรอ? “จริงๆ เขามาเสนอให้เรามันมากกว่าหลักล้านอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เป็นรถ เป็นอะไร ตอนนั้นเราคิดเยอะ เพราะเรากำลังรุ่งเรืองสุดขีด แล้วผู้ใหญ่ที่มาเสนอให้เราก็เป็นผู้ใหญ่จริงๆ ซึ่งเราไม่เคยเชื่อเลยว่าพวกท่านจะไม่มีครอบครัว ข่าวก็บอกว่าท่านมีครอบครัวแทบทุกคน เราจึงไม่เลือกไง”

เห็นว่าหนึ่งในนั้นที่มาจีบคือนักการเมือง ให้ได้ทุกอย่าง ยกเว้นดาวกับเดือน? “มีนักธุรกิจคนหนึ่งร่ำรวยมากมาจีบ แล้วอยากจะคบหากัน เราคิดว่าคนนี้ดูดี สเป๊กเรา เราคิดว่าจะเลือกเขาแล้วแหละ แต่วันหนึ่งเขาเรียกเราไปนั่งคุย บอกว่าพี่มีอะไรจะบอกน้องสักอย่างนึง ถ้าน้องคบกับพี่ตอนนี้ พี่ไม่สามารถหาอะไรให้น้องได้อย่างที่น้องต้องการ แต่ถ้าเกิดว่าน้องเป็นแฟนของนายพี่ น้องอยากได้อะไร ยกเว้นดาวกับเดือน พี่จะให้น้องทุกอย่าง คือเขาไม่สามารถเบรกกับครอบครัวเขาได้ที่จะมาซัพพอร์ตเรา แต่ถ้าสมมติเราเป็นแฟนกับนายเขา เขาสามารถให้ได้ทุกอย่าง”

ผู้ชายคนนั้นทำให้เจ็บช้ำเรื่องความรักมากที่สุด? “ไม่ใช่นะคะ คนนั้นยังไม่ทันจะเริ่มอะไร เริ่มแค่รู้สึกดี แค่เริ่มจะเลือก แต่เผอิญเขามาพูดคำนี้กับเรา แล้วเราก็นึกได้ว่านายที่เขาพูดเป็นนายที่พยายามจีบเรานานมากแล้ว แล้วพอเขาพูดอย่างนี้เราก็รู้ว่าเราไปต่อกันไม่ได้ มันจบตรงนั้นแล้ว”

ตอนนั้นเสียใจขนาดไหน คนที่เรารัก เอาเราไปยกให้คนอื่น? “ตอนนั้นเราก็ยังเด็กอยู่ รู้แต่ว่าเอาละ เราต้องหาเป้าหมายใหม่แล้วที่จะมองแล้วใช่ มองอย่างนี้เรายังมองพลาดเลย แล้วเราก็พลาดซ้ำสองอีกในเวลาอีกไม่นาน”

พี่ปูคิดอย่างนี้ไหม เรามีความสวย มีความสามารถ หาเลี้ยงตัวเองได้ ก็จะมีเรื่องของเกียรติที่ไม่ยอมแลกแบบนั้น? “จริงๆ แล้วตอนนั้นเป็นช่วงที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มันก็เหมือนมีหัวโขนที่สวมอยู่แล้ว ทำให้การทำอะไรของเราค่อนข้างระมัดระวังที่ไม่อยากทำให้เสียชื่อเสียง พ่อเป็นข้าราชการ เราอยากจะประคองให้มันเพอร์เฟ็กต์ เพราะเราเดินทางมาด้วยนักว่ายน้ำทีมชาติ ประกวดนางงาม เส้นทางเรามามันดูดี เราก็เลยพยายามรักษาหัวโขนเอาไว้ แต่ด้วยความที่คนมาเสนอเรา หลอกบ้าง ล่อบ้าง จนเราไม่รู้ว่าอะไรมันถูก อะไรจริง อะไรมันปลอม”

เห็นว่าโดนข่มขู่ด้วย? “ตามอยู่พักนึง ตามแบบไม่มีความสุข วันๆ ตื่นมามีแต่ข้อความว่านายอยากเจอ จนกระทั่งวันหนึ่งเราไปทำงานที่ช่อง ช่องก็บอกว่ามีคนโทรศัพท์มาว่าพี่ปูเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เหรอ ก็ไม่ได้เปลี่ยนนะ”

โดนข่มขู่จากคนๆ เดียวไหม? “หลายคน ทุกวงการ หลังๆ การจีบกันเหมือนเป็นการแข่งขัน เหมือนแบบใครจะจีบเราติด”

เห็นว่ามีจ้างคนมาสะกดรอยตาม? “ใช่ๆ เอารถมาจอดหน้าบ้าน เอารถทหารมาจอดหน้าบ้าน เอารถมาเฝ้าหน้าบ้าน บางทีเราออกจากบ้านปุ๊บก็ต้องคอยมองว่ามีรถอะไรตามมาหรือเปล่า บางทีเราไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ คนที่มองเราอยู่เป็นคนที่ชื่นชมเราเพราะเราประกวดนางงามได้ หรือว่าเราเป็นดารา เราผวาไปช่วงนึงได้ แล้ววันนึงเรารีบเลือก แล้วก็แจ็กพอตพอดี”

มีคนในวงการบันเทิงมาจีบ แล้วพี่คบเป็นแฟนบ้างไหม? “มีค่ะ เมื่อก่อนเป็นแฟนกับน้องพี่จิ๋ม ปนัดดา ก็โอเค นั่นเป็นคนในวงการที่คบหากันสมัยก่อน”

เห็นว่ามีครั้งหนึ่งพี่ปูเกือบได้แต่งงาน? “ใช่ค่ะ ตอนนั้นประกวดนางงามที่ต่างจังหวัด นางสาวเชียงใหม่ก็หลงรักผู้ชายคนนึง คิดว่าคงได้แต่งแล้วแหละ มีอยู่วันหนึ่งได้มีโอกาสเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อจะไปโชว์ตัว แต่แฟนบอกว่าแฟนไม่อยู่ ไม่สามารถมารับเราที่สนามบินได้ เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เขาเองก็คิดว่าเราแคนเซิลงาน แต่เราไม่ได้แคนเซิลเพราะเรารับงานไว้แล้ว ก็ไปแต่ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหนก็เลยไปบ้านแฟน เพราะคิดว่าแฟนไม่อยู่ ก็ไปนั่งรอเวลาเพื่อจะได้ออกงาน แต่สักพักแฟนเดินลงมาพร้อมกับสาวสองคน มันก็เป็นอะไรที่เลิกกันไป”

เคยมีคนพูดกับพี่ปูไหมว่าเราสวยนะ แต่เราอาภัพรัก? “พี่กลับไม่เคยคิดคำนี้เลย พี่เห็นมิสยูนิเวิร์สก็ยังโดนทิ้งเลย ไม่เคยคิดว่าตัวเองอาภัพรัก เพียงแต่ว่าช่วงหนึ่งเราไม่มีที่ปรึกษา แต่พี่ไม่เคยเห็นใครประสบความสำเร็จเรื่องความรักเลย ไม่รู้สังคมเป็นค่านิยมอะไร พี่มีความรู้สึกว่าไม่ว่าใครที่ดีกว่าเรา สุดท้ายยังเฟล ยังผิดพลาด เลยทำให้เราทุกข์มันเป็นเรื่องธรรมดา”

ทุกวันนี้มีความรักบ้างไหม? “พี่ไม่อยากคุยเรื่องความรัก เพราะเมื่อกี้เราคุยกันมา เราเล่นกันมาเกือบ 10 คนละ พอคุยกันมาปุ๊บคนจะบอกว่าเราเปลี่ยนอีกแล้ว ถ้าเกิดเราไม่ได้มานั่งคุยเราก็จะไม่ทราบสาเหตุที่เราเปลี่ยนเป็นเพราะอะไร เราถูกหลอก ถูกใช้ ถูกอะไรมาบ้าง คนที่วิพากษ์วิจารณ์คิดว่า เปลี่ยนผู้ชายอีกแล้ว คนจะพูดแต่คำนี้ แต่คนไม่รู้หรอกว่าเขาหลอกเรา มันกลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามเลย ถามว่า ณ วันนี้ช้ำไหม ไม่นะ ถ้าสมมติมีโอกาส มีจังหวะ แล้วมีใครเข้ามาในชีวิต ซึ่งมันก็ไม่แน่ พี่ยังไม่อยากจะบอกว่าตอนนี้พี่ก็ไม่มี ถ้าเกิดพี่บอกว่าใช่เลย แล้วพรุ่งนี้พี่เลิก ก็จะบอกว่าเปลี่ยนอีกแล้ว พี่คิดว่าความรักของพี่ สำหรับผู้หญิงวัย 56 มันไม่ใช่สิ่งที่พี่จะเอามาเป็นตัวชู เหมือนกับที่พี่ได้ตำแหน่งมากมาย แต่ตอนนี้พี่จะมองว่าความรักที่มีมันใช่ไหม มันเปิดเผยไหม ใช่ตัวจริงไหม หรือไม่ใช่ แล้วนั่งมองตากันปริบๆ ไปก่อน หรือถ้าเกิดใช่ควรจะเปิด เมื่อวันนั้นมาถึงเปิดก็ได้ คือตอนนี้มันไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าใช่หรือไม่ใช่”

แสดงว่าพี่ปูไม่ได้เข็ดกับความรัก? “ถามว่าเข็ดไหม ก็ไม่ได้เข็ด พี่ไม่ได้ออกนอกบ้านนะ พี่ไม่ได้สาวปาร์ตี้เกิร์ล พี่ไม่มีเพื่อน ไม่แอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ พี่เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เพราะฉะนั้นพี่จะโดนบังคับให้ออกนอกบ้านเสมอ ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ แม่บอกว่าออกไปสิ ไปงานปิดกล้อง ไปงานนู่นนี่นั่นตลอด”

เห็นว่ามีคำสั่งเสียก่อนที่แม่จะเสียด้วย บอกว่าไปงานแต่งงานเพื่อนนางงามให้แม่หน่อย? “ตอนนั้นคุณลูกตาล จริยา เขาจะแต่งงาน ตอนนั้นคุณแม่พี่เขาไม่ค่อยสบาย แม่รู้เลยว่าพี่จะไม่ชอบไปงานใครเด็ดขาด แม่ก็รู้ว่างานนี้จะต้องไม่ไปแน่นอน แต่ว่าน้องเป็นรุ่นน้องแล้วรู้จักกัน แม่จะสั่งพี่ทุกวัน ย้ำพี่ทุกวันว่าแกต้องไป คืออยากจะดันเราออกงานให้ไปเจอผู้คน แต่งานแต่งงานน้องไปนะคะ แต่ถ้าเป็นลักษณะทานข้าวจะไม่ไปเลย”

พี่ปูดำไม่ปิดความรัก แต่คนที่เข้ามาต้องมีมากกว่าในเรื่องไหน? “คือแววตาของผู้หญิงอายุรุ่นนี้ เขาก็จะมีแววตาของเขาอีกแววตานึง แต่เป็นแววตาของผู้หญิง 56 เนี่ย เวลามองคนที่เข้ามาหาแล้วมีความรักเนี่ย เราจะมีคำถามมากมายอยู่ในแววตาของเราที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต เรากลัว เราประหม่า เราถูกหลอกมาแล้วหลายครั้ง แล้วเราไม่ใช่กับแววตาผู้หญิงอ่อนโยน เราเป็นแววตาของคนที่คิดเยอะ คิดมาก เพราะเราไม่มีโอกาสพลาดอีกแล้ว การเลือกของเราครั้งนี้ถ้าเราพลาดอีก เราเริ่มนับหนึ่งใหม่ไม่ไหว”

แล้วคนที่จะเข้ามาต้องเป็นลักษณะแบบไหน? “พี่ชอบคนอบอุ่น ช่วงที่เปิดร้านอาหารที่บ้านตอนคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะมีผู้หลักผู้ใหญ่เข้ามาที่บ้านเยอะ แต่พอตอนช่วงที่คุณแม่เสียแล้ว มีโควิด ร้านอาหารที่บ้านเราปิด ยิ่งทำให้พี่ปูปิดตายกับชีวิตไปเลย พี่ยังคงเขื่อว่าบุพเพสันนิวาสยังมีอยู่จริง ต่อให้เราไปวัด ไปสถานที่ไหนก็ตามถ้าเกิดเราจะเจอมันก็ต้องเจอ ซึ่งพี่คิดว่าสักวันอาจจะเป็นวันของพี่ก็ได้ แต่ให้ไปมองให้ไปขวนขวายก็ไม่ได้คิดขนาดนั้น”

คนที่คุยๆ อยู่ตอนนี้เป็นลักษณะแบบไหน? “ตอนนี้ที่คุยๆ ทั้งในเฟซและในชีวิตจริงก็เป็นการคุยกันเหมือนเพื่อน แต่เรื่องที่จะมาดูแลคุ้มครองเรา พี่มองว่าพี่อยู่ในวัยซึ่งไม่มีใครมาดูแลเรา มันต้องผู้ใหญ่มากๆ”

ทั้งชีวิตเจอคำนินทาตลอด บางทีได้ยินกับหูเลย มีเรื่องอะไรบ้าง? “อย่างสมัยก่อน พี่มีผู้จัดการคนหนึ่งไปไหนไปด้วยกัน ขำมากเลยอยากทานฝรั่ง แล้วให้พี่เลี้ยงไปซื้อ เราเห็นว่านานเลยตามไปดู เขาบอกว่าไป แล้วมาบอกว่าเมื่อกี้เข้ามาทำไม ขัดจังหวะ กำลังเม้าธ์เลย บ้านอยู่ติดกันเลย คนนี้เป็นเมียรัฐมนตรี รัฐมนตรีเลี้ยงอยู่ เม้าธ์สารพัด ทั้งที่ผู้จัดการก็อยู่กับเรามานาน”

เห็นว่าได้ยินกับหูเลยว่า คนเม้าธ์ว่ามีลูก? “เคยไปออกบูธดารา แล้วเราเป็นประเภทชอบเด็กอ้วน แล้วพี่ชายนั่งทานอาหารอยู่ แล้วมีคนบอกว่า นั่นนะลูกกับสามีที่เป็นดารา หรือลูกติดกับคนที่เพิ่งเลิกกันไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดูสิ ออกลูกยังไงหน้าเหมือนคนใช้ คือคนมันจะเม้าธ์มันก็เม้าธ์ไปเรื่อย”

ที่ผ่านมาไม่มีการแก้ข่าว หรือตั้งโต๊ะแถลงเกี่ยวกับเรื่องตัวเองเลย? “ใช่ สิ่งที่เราได้ฟัง สิ่งที่เราได้ยินคำนินทา ถ้าเกิดมันเป็นอะไรที่ขาจรเราจะไม่เสียเวลา แต่ถ้าเป็นระดับมหาภาค เราก็จะตั้งโต๊ะ แต่มันยังไม่เคยมีแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกันช่วงนี้ก็มีข่าวเหมือนกัน เรื่องที่พี่พูดถึงคนนั้นคนนี้ พี่ว่าให้คำเหล่านั้นมันลืมเลือนไปดีกว่า เพราะว่าตอนนี้ต่อให้เราไปพูดแก้ตัว แก้ต่างยังไงกับคนที่ไม่รักเรา พูดให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นไม่แก้ข่าวอีกไม่กี่วันคงลืมมั้ง”

พร้อมตายทุกเมื่อเลยเหรอ? “ใช่ค่ะ ตอนนี้ในชีวิตของพี่ปูเอง คุณพ่อเสียแล้ว คุณแม่เสียแล้ว พี่ชายบวช เราตัวคนเดียวจริงๆ ทุกครั้งที่เราจะนอน เราจะอธิษฐานจิตหรือสวดมนต์เล็กๆ น้อยๆ ปุ๊บ เราก็จะพูดตลอดเวลาว่า ถ้าเกิดต้องไป ขอให้หนูไปเลยนะ เรารู้สึกว่าการได้อยู่บนเตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ เรารู้สึกสบาย เราพร้อมจะไป เพราะเราไม่มีห่วงข้างหลัง”

เห็นว่ามีหลายครั้งเหมือนกันที่มีธรรมะเข้าช่วย แต่ก็นั่งร้องไห้คนเดียวอยู่บ่อย? “จริงๆ พอเราอยู่ตัวคนเดียว เราจะไม่มีที่ปรึกษา ที่บ้านก็จะเป็นเด็ก เขาก็จะให้คำปรึกษาอะไรไม่ได้ เราต้องเป็นคนดูแลเขา เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราตัดสินเองตอนนี้มันคือชีวิตของเราล้วนๆ แล้วเรารู้สึกว่าตอนนี้เราไม่รู้จะตัดสินอะไร เพื่อใคร เรามีความรู้สึกว่าชีวิตมันน่าเบื่อ แล้วก็ไม่น่าอยู่ ชีวิตรอบๆ ตัวก็มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ มีแต่การนินทา การแข่งขัน ชีวิตจริงๆ มันไม่ได้มีความสุข เราสามารถนับความสุขได้ แต่ความทุกข์นี่นับไม่ถ้วน”

เห็นว่าพี่ปูเคยเบื่อ ถึงขั้นอยากจบชีวิตตัวเอง? “มันเป็นคำเดียวที่พี่บอกเมื่อกี้เลยว่า ถ้าเกิดจะตาย ตายเลยนะ แต่ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เราพร้อมวันนี้ เดี๋ยวนี้ เรามีความรู้สึกว่าเราพร้อมเสมอที่เราจะไป”

วางแผนจัดการชีวิตตัวเองยังไง? “ถ้าเราตายไป สมมติเรามีญาติพี่น้องอยู่ เขาก็คงจัดการกันเอง มันก็เป็นไปตามนั้น”

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากใช้เวลากับคุณแม่? “ก่อนที่คุณแม่พี่จะเสียสัก 3-4 ปีที่แล้ว ปูรับละครเยอะ ปีนั้นประมาณ 3 เรื่อง แล้วคิวเต็มเลย แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณแม่ไม่สบาย แล้วคุณแม่ไปอยู่ห้อง ICU เวลาเยี่ยมห้อง ICU มันก็มีเวลาจำกัด ซึ่งไม่ตรงเวลาที่กองเขาปล่อย พอเราว่างจะมาห้อง ICU ก็ไม่ให้เราเข้าเยี่ยม จริงๆ เราทำงานเพื่อใคร เราทำงานเพื่อครอบครัว แต่พอวันหนึ่งเราทำเต็มที่แล้ว แล้วเราไม่สามารถที่จะดึงเขากลับมาได้แล้ว เราก็มีความรู้สึกว่าเพื่อใคร เพื่ออะไร จนทำให้พี่ปูไม่รับละครอยู่ช่วงนึงหลังจากที่คุณแม่เสีย เพราะมีความรู้สึกว่าไม่รู้จะทำเพื่อใคร”

เห็นว่ามันเป็นปมที่อยู่ในใจ? “มันเป็นปม เพราะว่าเราทำมากเกินไป”

ถ้าย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้ อยากแก้เรื่องอะไร? “อยากจะแก้หลายเรื่องเลย เพราะต้องพูดเลยว่าสุขนับได้ ทุกข์นับไม่ได้ ถ้าเกิดเลือกได้ก็ไม่อยากเกิด แต่ก็คงไม่ได้อรหันต์ขนาดนั้น เพราะบุญบาปก็ทำมามากมาย มนุษย์เกิดมามันก็ทุกข์ จริงๆ ไม่อยากเกิดเลย ชีวิตมันเป็นรูทีนมันน่าเบื่อ มันไม่มีอะไรมั่นคงที่เราจะนับถือ”

เคยคิดไหมเราเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า? “พี่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพลาร์ พี่คิดว่าไบโพลาร์กับซึมเศร้าต้องใช้กับคนที่ผิดหวังในทุกๆ เรื่อง และปัจจุบันก็ยังไม่สามารถคว้าอะไรมาได้ ทำให้คาดหวังแล้วหลุด แต่ของพี่ พี่จะคิดถึงเรื่องแม่ส่วนใหญ่ว่าพ่อไปแม่ไป พี่บวช อยู่กับใคร ไม่อยากอยู่เลย แต่เรื่องความรักที่ผ่านๆ มามีผิดหวัง ผิดพลาดมา ทุกวันนี้มานั่งมองเป็นครู เป็นอาจารย์ เชื่อคนง่าย ถ้าเกิดเรามีลูกมีหลานเราจะได้สอนได้ แต่ว่าเราไม่มีวิชามันก็อยู่ติดตัวเรา ทำให้เราแกร่งมากขึ้น”

คลิปสัมภาษณ์ ปูดำ สรารัตน์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน