“แบงค์ วงแคลช” เปิดที่มาของการเป็นเจ้าของสวนบอนไซ สไตล์ญี่ปุ่น จากความชอบกลายเป็นธุรกิจ พร้อมเผยถึงเหตุผล กลับมาไว้ผมในรอบ10 ปี เพราะเล็งเป็นเซอร์ไพรส์บนคอนเสิร์ต 20ปี วงแคลช

 

ด้วยความที่ชื่นชอบความเป็นญี่ปุ่น แบงค์ ปรีติ บารมีอนันต์ หรือ แบงค์ วงแคลช ได้สร้างห้องสไตล์ญี่ปุ่นเป็นของตัวเอง และเพื่อเพิ่มบรรยากาศให้เหมือนอยู่ที่ญี่ปุ่นมากขึ้น เจ้าตัวได้ทำสวนบอนไซไว้บริเวณรอบบ้าน

และจากความชอบ นำมาสู่การเปิดเพจเฟซบุ๊ก Aoien Bonsai (อาโออิเอ็นบอนไซ) นำเข้าต้นบอนไซจากญี่ปุ่นมาขาย

 

 

ล่าสุด แบงค์ ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง ข่าวสดบันเทิงออนไลน์ ถึงที่มาที่ไปของการทำสวนบอนไซอย่างจริงจัง รวมถึงเรื่องที่เจ้าตัวโดนทักว่าเป็นตัวปลอม หลังไว้ผมยาว พร้อมทั้งอัพเดตชีวิตในช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง หลังงานคอนเสิร์ตวงแคลชถูกพักยาว

 

“ชอบต้นบอนไซอยู่แล้ว แต่รู้ว่าเลี้ยงเขาไม่ได้ เพราะเป็นศิลปินแล้วก็ทัวร์คอนเสิร์ต คือมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน แล้วมันเป็นงานศิลปะที่มีชีวิตด้วย ไม่ใช่แค่ตั้งโชว์ไว้อย่างเดียว แต่ด้วยที่มันช่วงหยุดโควิด เราคิดว่าเราสนใจสิ่งเหล่านี้”

 

“แล้วก็มีแม่บ้านคนใหม่เข้ามา เขาเคยทำสวนทำไร่ แล้วบังเอิญเคยทำงานในร้านบอนไซ ก็เลยสบายเลย อย่างนี้ก็รดน้ำเป็น เลยคิดว่าฝากฝังไว้ได้ เวลาไม่อยู่ก็มาช่วยรดน้ำตอนเช้า ช่วยดูว่าดินแห้งหรือเปล่า แล้วบวกกับว่าตอนนี้โควิดมาแล้วหยุดยาว ก็เลยเต็มที่”

 

ตอนแรกเลี้ยงเพราะความชอบ ตอนนี้กลายมาเป็นธุรกิจแล้ว? “เรียกว่าเป็นธุรกิจได้ไหม พี่ว่ายังไม่ได้เพราะว่าธุรกิจ มันต้องมีที่เยอะๆ แล้วก็ขายต้นไม้ทุกวัน แต่ของพี่มันเป็นสวนเล็กๆ สวนหนึ่ง ที่ทำงานแบบโฮมเมด กว่าจะขายต้นหนึ่งได้ ก็ไม่ใช่ว่านำเข้ามาแล้วขายไป คงจะประดิษฐ์ประดอยเขาก่อน”

 

ตอนนี้เห็นว่าลามจากระเบียงบ้านขึ้นไปชั้นดาดฟ้าแล้ว? “ลามจนต้องทุบบ้านแล้ว เพราะว่าบ้านที่อยู่ เป็นบ้านที่สร้างเต็มพื้นที่ ไม่ได้มีลานกว้างๆ เหมือนบ้านคนอื่นเขา ตอนแรกจากต้นหนึ่ง เป็น 5 ต้น ตั้งงบ 1,000 กลายเป็น 5,000 แล้วหลังจาก 5,000 ก็ไม่มีอะไรหยุดยั้ง แบงค์ ปรีติ ได้แล้ว”

 

 

ในทางของจิตใจมันช่วยอะไรได้บ้าง? “มันทำให้เราละเอียดมากขึ้น และต้นไม้มันสอนเรานะ ไม่ต้องยิ่งใหญ่ แต่อยู่เป็น100 ปีได้ มันก็ดีในการบำรุงจิตใจของเรา แล้วปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยออกไปไหนอยู่แล้ว พอเจอต้นไม้เหล่านี้ไป ก็ยิ่งทำให้นั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิมตรงเนี้ย”

 

เห็นว่านำเข้ามาจากทางญี่ปุ่น? “ใช่ครับ ทั้งหมด เพราะเรามีช่องทาง แล้วก็มีเพื่อนเป็นชาวญี่ปุ่น เรารู้จักทั้งคนไทยที่อยู่ญี่ปุ่น เราก็ขอความช่วยเหลือ ส่งออกนำเข้ามาให้เลย”

 

หลายคนก็หันมาสนใจเรื่องของการปลูกต้นไม้ แต่ของพี่แบงค์ ค่อนข้างฉีกแนว เลือกปลูกต้นบอนไซ? “จริงๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นคนที่ชอบความเป็นญี่ปุ่น เป็นเจแปนลิซึ่ม คือบอนไซ บอกถึงความอายุยืนยาว เหมือนงานศิลปะ ที่ยิ่งพอคลุกคลีกับเขามากขึ้น ก็ยิ่งรู้เลยว่าผมชอบศิลปะอะไรพวกนี้ ผ่านไป 3 เดือน 6 เดือน เขาก็เปลี่ยนไปตลอด มันสนุกตรงนี้มากกว่า”

 

 

 

อย่างที่บอกว่าช่วงนี้ มันเป็นช่วงโควิด ก็เลยมีเวลาดูแล แต่ถ้าโควิดหายไป แล้วต้องกลับมาทัวร์คอนเสิร์ต วางแผนไว้ว่ายังไง? “อย่างที่บอก อย่างแรก โชคดีที่แม่บ้านรดน้ำเป็น แล้วก็เคยดูแลต้นไม้มาก่อน แล้วก็อย่างที่สอง คือวงแคลช ตอนนี้คอนเสิร์ตไม่เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน ที่ไปทัวร์ที หายไป 2 อาทิตย์ กลับมาคือหมาโตแล้ว (หัวเราะ) คือมันไม่ได้ขนาดนั้น

เพราะว่าตอนนี้แต่ละคนก็คือมีภารกิจของตัวเอง คือทำงานเต็มที่ก็ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ไม่เกิน4 วัน มองแล้วอะไรหลายๆ อย่าง ก็คือน่าจะเอาอยู่นะ ตอนนี้นั่งดูต้นบอนไซอยู่ มัน 50-60 ต้นได้ไง(หัวเราะ)”

 

 

วางแผนที่จะขยายใหญ่ไปเรื่อยๆ? “ไม่ขยายหรอก พูดตอนนี้นะว่าไม่ขยาย แต่วันหน้าไม่รู้ คือมันจะดูแลไม่ไหว แล้วเราก็ไม่ได้อยากจะทำเป็นธุรกิจจ๋า กลัวมันจะไม่สนุก เพราะขนาดเท่านี้ ลูกค้าแวะมาที่สวน ก็ชมว่าเหมือนไปญี่ปุ่นเลยเนอะ แค่นี้ก็คือมันบรรลุแล้ว ก็พอแล้ว”

 

ตอนนี้เรียกว่าเป็นกูรูในเรื่องของต้นบอนไซ ใครอยากรู้อะไรก็คือสามารถสอบถามพี่แบงค์ได้เลย? “ได้ครับ ก็สามารถอินบ็อกซ์ไปถามในเพจ Aoien Bonsai ได้เลย เผื่อถามลึกแล้วแอดมินไม่สามารถตอบได้ เดี๋ยวผมตอบเอง”

 

 

หลายๆ คนต่างได้รับผลกระทบจากโควิด ด้านงานคอนเสิร์ตของ วงแคลช เป็นไงบ้าง? “ว่างเปล่า มันทำไม่ได้ คือตอนนี้สถานการณ์มันทั้งโลก มันเท่ากันหมด ไม่ว่าใครดังกว่าใคร ใครมีชื่อเสียงกว่าใคร คือทุกคนได้ผลกระทบเท่ากันหมด

ถ้าใครที่เจอช่องทางอื่นนอกจากการเล่นดนตรี ก็โชคดีไป เห็นบางคนก็เจอ เผลอๆ มีรายได้มากกว่าการเป็นนักดนตรีด้วยซ้ำไป อย่างผมนี่ก็เจอการทำสวนบอนไซ มันเป็นสิ่งหนึ่งที่เราทำมันได้ทุกวันแล้วก็ไม่เบื่อ”

 

“…เหมือนเราคิดว่า เราจะมีแฟนคนนั้นแค่คนเดียว แล้วพอเราเลิกกับเขาไป จะไม่มีใครมาแทนที่เขาได้ แต่แล้วเราก็เจอ มันก็จะมีสิ่งหนึ่งที่เราเจอ แล้วก็มาทดแทนตรงนั้นได้ แล้วมันก็มีความสุขด้วย…”

 

 

 

นอกจากต้นไม้แล้ว มีคนจริงๆ เข้ามาทดแทนได้บ้างหรือยัง? “ครับ คือที่ผมอยู่กับต้นไม้ได้ทุกวัน คือเขาไม่พูด แล้วมันก็สอนอะไรเราด้วย

แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้ว ก่อนที่จะมีการกักตัว ก็อยู่แต่บ้าน ทำนั่น ทำนี่ ตื่นมาก็รดน้ำต้นไม้ก่อน อันดับแรก เสร็จแล้วก็ลงมาเล่นกับหมาแมวที่บ้าน คุยกับคุณย่าแล้วก็ทำกับข้าวกิน แล้วก็หวนกลับขึ้นมาดูสวน

ทำอย่างนี้ 4-5 ชั่วโมง มันเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว กลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว คือไม่ได้เจอใคร แล้วก่อนหน้านี้ที่วงแคลชกลับมารวมตัวกัน ก็ทัวร์คอนเสิร์ต ทัวร์เสร็จก็กลับมาที่บ้าน ไม่มีอะไร ก็อยู่กับต้นไม้”

 

ล่าสุดกักตัวก็เปลี่ยนลุกส์ใหม่ไว้ผม หลายคนจำไม่ได้ ทักว่าเป็นตัวปลอม? “ก็ตลกดี อาจจะเป็นเพราะว่าก๊อบปี้โชว์ เงาเสียงของ แบงค์ แคลช มันถูกพัฒนาไปไกลมาก

ผมว่าหลายๆ ท่านที่ได้ติดตามมานาน ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ เขาก็คงจะมองว่า เงาเสียง ก๊อบปี้โชว์ จะต้องไว้ผมตั้ง

แต่ว่าพี่แบงค์คงไม่มีผมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่มีผม ก็คงจะต้องเป็นตัวปลอม ก็เลยเป็นอย่างนั้นไป

ก็เลยสรุปว่าพอมีผม เขาก็เลยรู้สึกว่าไม่ใช่หรอก บางคนถามด้วยซ้ำว่า พี่แบงค์ไปทำลักยิ้มมาเมื่อไหร่ คือผมมีลักยิ้มแล้วนะครับ”

 

ไว้ผมเนื่องในโอกาสหรือว่ามีอะไรพิเศษจะเซอร์ไพรส์แฟนคลับหรือเปล่า? “คือจริงๆ เราได้บอกแฟนคลับว่าจะไม่ลงรูปใบหน้าประมาณ 3-4 เดือน เพราะว่าเราจะไว้ผม

แล้วจริงๆ วาระเนี่ย มันเป็นวาระที่จะจัดคอนเสิร์ต 20 ปี วงแคลช ที่เป็นคอนเสิร์ตใหญ่มาก น่าจะใหญ่ที่สุดในชีวิต ที่เคยจัดมา

คือวางแผนไว้ว่าสิ้นปีนี้ แต่สุดท้ายจัดไม่ได้ พังพินาศไปหมด แล้วคือถ้าตามแผนเดิม คิดว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่จะซ้อมคอนเสิร์ต แล้วก็คือจะมีแต่ภาพซ้อมคอนเสิร์ต แล้วก็จะไปเปิดตัวเราว่าไว้ผมอีกทีในคอนเสิร์ต

แต่สุดท้าย วาระนั้นมันทำไม่ได้ ก็เลยอ่ะ..เปิดตัวมันอย่างนี้แหละ เพราะว่าถ้ายาวไปกว่านี้ ก็ทำทรงนี้ไม่ได้แล้ว ก็ทำให้แฟนๆ มีความสุข อย่างที่เขาต้องการ”

 

แล้วส่วนตัวชอบแบบไหน? “พี่ชอบสกินเฮดมากกว่าอยู่แล้ว มันง่ายกับผู้ชายที่ไม่ต้องอะไรมาก พร้อมออกจากบ้าน ไม่ต้องมานั่งไดร์ผมมานั่งเซ็ตผม

คือไว้ผมสกินเฮดมา 10 กว่าปี มันไม่ชินอ่ะ แต่เดี๋ยวสักพักมันก็คงเริ่มชิน (ก็ซื้อไดร์มาเพื่อการนี้?) ใช่ครับ ผมซื้อไดร์มาหนึ่งอันแล้วนะ”

 

สุดท้าย ในฐานะที่เราอยู่ในกลุ่มอาชีพนักร้อง-นักดนตรี ที่หลายคนตอนนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก อยากพูดอะไรไหม? “เราก็อยู่ในสังคมนักดนตรี นักร้อง เราก็แลกเปลี่ยนความลำบากกัน

ช่วงแรกๆ ก็บ่นๆ กันว่าปรับตัวไม่ทัน บางคนก็หาสิ่งที่มาทดแทนการเล่นดนตรีการร้องเพลงได้ บางคนก็หันไปทำอย่างอื่นแล้วสำเร็จ และดีด้วย อันนั้นก็โชคดีไป ส่วนคนที่คิดว่าตอนนี้ ยังร้องเพลงได้อย่างเดียว เล่นดนตรีได้อย่างเดียวเท่านั้น อันนี้ก็ขอให้กำลังใจ แล้วก็ต้องค้นหากันต่อไป

คือพี่ก็เจอด้วยความบังเอิญ เพราะว่าถ้ายิ่งบังคับตัวเอง ยิ่งจะไม่เจอ ก็ต้องปล่อยชิลชิล

แต่ก็เข้าใจบางคนว่าชิลไม่ได้ มันอยู่ในห้วงสุดท้ายของเงินเก็บ จากคนที่จะหมดก็หมดแล้ว จากคนที่เคยให้ยืมตอนนี้อาจจะเป็นผู้ยืมเองแล้ว

วันนี้ก็คือต้องมีสติในการใช้ชีวิตต่อไป ก็ให้กำลังใจทุกคน ขอให้ทุกกิจการทุกอาชีพ ได้กลับมาได้ใช้ชีวิตเหมือนเดิม”

 

“อาชีพนักร้องนักดนตรีเรียกว่าเป็นอาชีพหิวแสงโดยธรรมชาติ คิดถึงแสงไฟที่ส่องเข้ามา มันเป็นอาชีพที่หิวแสงโดยแท้”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน