เค้ก-คริสซี่ รีวิวชีวิตอยู่ก่อนแต่ง! พร้อมเผยเคล็ดลับ ทำอย่างไรให้พ่อแม่ไฟเขียว- แพลนอนาคต มีลูก พาย้ายประเทศไปอยู่อังกฤษ

 

แม้ว่ายุคนี้จะเป็นยุค 2021 แล้ว แต่ก็น้อยคนนักที่จะกล้าออกมายอมรับว่า “อยู่ก่อนแต่ง” ยิ่งเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วละก็ ยิ่งต้องห่วงภาพลักษณ์แบบสุดๆ

แต่ไม่ใช่กับคู่รักพระ-นางรุ่นเล็กแห่งวิก 3 อย่าง เค้ก นัทธวัชร์ แก้วบัวสาย และ คริสซี่ กฤษณ์สิรี สุขสวัสดิ์ ที่แหวกกฎวงการบันเทิง ออกมายอมรับแบบไม่แคร์สื่อว่า อยู่ก่อนแต่ง

นอกจากนี้ ทั้งคู่ก็ได้มาเล่าย้อนโมเมนต์หวาน ตั้งแต่ตอนปิ๊งรักกับทาง ข่าวสดบันเทิงออนไลน์ ที่เรียกว่าฟังแล้วมดไต่หู อ่านแล้วเบาหวานขึ้นตา พร้อมเผยเคล็ดลับคู่รักรุ่นใหม่ ทดลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างไร ให้พ่อแม่ ไฟเขียว?

เห็นว่าตอนนี้ซื้อบ้านด้วยกัน ไปมายังไงถึงได้ตกลงว่าจะซื้อบ้านด้วยกัน?

คริสซี่: “คือเริ่มจากการที่เราไปดูบ้านเล่นๆ กันเฉยๆ เพราะโควิดมาแรกๆ ราคาบ้านมันถูกลง พอดูไปดูมาหลายๆ ที่มันก็เกิดความรู้สึก เราอยากอยู่ด้วยกันขึ้นมาระหว่างที่เราดูไปเรื่อยๆ เราก็เลยคุยกันว่ามาซื้อบ้านด้วยกันไหม”

แล้วคบกันมานานขนาดไหนก่อนตัดสินใจว่าจะซื้อบ้านด้วยกัน?

เค้ก: “ก็คือ3ปี4ปีแล้วครับแล้วก็เพิ่งทำบ้านเสร็จ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ได้ย้ายเข้าไป แต่จริงๆ แล้วคือเราอยู่ด้วยกันมาเป็นปีแล้ว”

คริสซี่: “คือพี่เค้กย้ายมาอยู่บ้านที่ซี่อยู่กับแม่ตอนนี้อะค่ะ ระหว่างที่รอบ้านนู้นเสร็จก็คือประมาณเป็นปีแล้วค่ะ แต่คือจริงๆบ้านนี้เสร็จแล้วแต่เราก็ยังไม่ได้บอกใครนะคะ ว่าเรามีแพลนที่จะทำแล้วก็ขายเลย คือตอนนี้ทำเสร็จแล้ว ก็กำลังจะลง YouTube ปลายเดือนนี้ว่าจะประกาศขาย”

คือไม่ถูกใจหรือติดปัญหาอะไรทำไมถึงอยากขาย?

คริสซี่: “เพิ่งคิดเมื่อปลายเดือนที่แล้วค่ะว่าจะติดตัดสินใจขายบ้านหลังนี้ คือ1 ด้วยความที่พ่อแม่เราทั้งสองฝ่ายเริ่มแก่ลง บ้านหลังนั้นจะอยู่ค่อนข้างชานเมืองนิดนึง เดินทางไปมาหาสู่กันลำบาก แล้วบวกกับบ้านหลังนั้นมีพื้นที่สวนที่ค่อนข้างใหญ่มากๆ ซึ่งเราสองคนไม่มีเวลาดูแลสวนเลย เราก็เลยอยากเปลี่ยนเป็นบ้านที่มีพื้นที่สวนเล็ก แล้วตัวบ้านสร้างเต็มพื้นที่ เหมือนว่าความต้องการเรามันเริ่มเปลี่ยนแล้ว ก็เลยคิดว่าทำบ้านหลังนี้ให้เสร็จแล้วกันถือว่าเป็นการขายบ้านพร้อมอยู่แล้วก็ซื้ออีกที่หนึ่งที่อยู่ใกล้บ้านพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายมากขึ้นด้วย”

เค้ก: “คือเหมือนเราซื้อบ้านหลังนี้มาเป็นปีแล้วครับ และด้วยปัญหาของอินทีเรียแล้วก็ผู้รับเหมามันเกิดปัญหา เปลี่ยนอินทีเรียมา2คน มันก็เลยร่นเวลาการเข้าอยู่ตั้งแต่ซื้อบ้านมา ตอนนี้ก็คือครบหนึ่งปีพอดี ที่ทำบ้านเสร็จ”

แต่คนที่จะมาซื้อต่อ จะไม่ได้รับปัญหาอะไรแล้วเพราะเรารับมาแทนหมดแล้ว?

คริสซี่: “ใช่ๆ คือเราทำเสร็จ มีเฟอร์นิเจอร์ เราก็เลยขายแบบพร้อมอยู่เลยละกัน ทำให้ดีที่สุดทำให้สวยไปเลย”

แล้วที่เราอยู่ด้วยกันมันนานขนาดไหนแล้ว?

เค้ก: “ประมาณปีกว่าแล้วครับ”

 

 

ตัดสินใจยังไงว่าจะมาลองใช้ชีวิตด้วยกัน?

คริสซี่: “คือก่อนหน้านี้ พี่เค้กมาอยู่บ้านคริสซี่อาทิตย์ละไม่กี่วัน แล้วก็สลับกัน คริสซี่ไปอยู่บ้านพี่เค้กบ้าง แล้วทีนี้หมาบ้านซี่อ่ะดันไปกัดลูกแมวก็เลยช่วยมันไว้ ก็เลยมีลูกแมวอยู่ในบ้าน แล้วคือตอนแรกแม่ซี่ไม่ได้อยากเลี้ยง เพราะว่าเขากลัวหมาที่บ้านจะไม่ถูกกับแมว แต่ซี่สงสารก็เลยตัดสินใจอยากเลี้ยงลูกแมวตัวนี้ไว้

พี่เค้กก็เลยบอกว่าจะช่วยเลี้ยง แล้วมันดันเป็นช่วงที่ซี่เดินทางออกต่างจังหวัดพอดี แล้วบ้านซี่ไม่มีใครอยู่ พี่เค้กก็เลยอาสาเดี๋ยวจะอยู่ดูลูกแมวที่บ้านนี้ให้เอง แล้วหลังจากนั้นก็เป็นการเลี้ยงด้วยกันมาก็เลยยาวมาเลยจนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้กลับบ้านตัวเองเลย”

พอมาลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมันเกิดปัญหาอะไรต่างจากตอนที่เราไปมาหาสู่กันไหม?

เค้ก: “เค้กว่าเวลาที่มันผ่านมาทั้งหมดก่อนที่จะย้ายมาอยู่ด้วยกันตรงนี้ คือมันผ่านช่วงเวลาที่เราคุยกัน แล้วก็ผ่านปัญหาใหญ่ๆ รวมถึงนิสัยส่วนตัวของคริสซี่เอง คือมันผ่านมาหมดแล้วตั้งแต่ตอนเริ่มคุยกันแล้ว พอเราย้ายมาอยู่ด้วยกันมันแทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลย คือน้อยมาก

มันจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนิสัยส่วนตัว ที่มันไม่ได้มีผลกับความสัมพันธ์หรือความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย เช่นเค้กอ่ะชอบเปิดฝาพวกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทิ้งไว้แล้วคือมันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คือมันปรับจูน ผ่านเรื่องใหญ่ๆ มาหมดแล้ว ก่อนที่จะอยู่ด้วยกัน”

คุณพ่อคุณแม่ว่ายังไงบ้าง ลูกสาว-ลูกชายมาลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน?

คริสซี่: “โอเคค่ะโอเคมากเลย อยู่บ้านซี่เขาก็ไม่ได้มาอยู่เฉยๆ เขาทำทุกอย่าง เวลาคริสซี่ไม่อยู่บ้านแล้วแม่เดินทางไปไหน เขาขับรถไม่ถนัด พี่เค้กก็จะอาสาพาไป เวลาที่แม่อยู่บ้านเบื่อๆ คนเดียว พี่เค้กก็จะเข้าไปนั่งด้วยชวนเล่น ก็จะมีหน้าที่เป็นลูกชายอีกคนของบ้าน ช่วยดูแลบ้าน ช่วยดูแลครอบครัว ดูแลหมาแมวอะไรอย่างนี้หมดเลย”

เค้ก: “แล้วอย่างฝั่งเค้กก็โอเค เพราะว่าด้วยความที่เราอ่ะบอกทุกคนไปหมด เราจริงใจแล้วเราก็จริงจัง เราไม่ได้เป็นปั๊ปปี้เลิฟหรือชั่วคราวคือเรามีความตั้งใจที่จะสร้างครอบครัวด้วยกัน คือเราบอกไปตรงๆ เลยว่าเราไม่ได้มาเล่นกันนะ”

แล้ววางแผนอนาคตกันว่ายังไง?

เค้ก: “ไม่เชิงวางแผน แต่ว่ามันก็มีคุยกันสองคนเป็นการตัดสินใจร่วมระหว่างสองคนนั่นแหละครับ ว่าในอนาคตเราจะยังไงกัน หรือจะเรียกว่าวางแผนก็ได้ แต่มันแค่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเมื่อไหร่ยังไง”

แต่ด้วยความที่เราเป็นดารามีชื่อเสียง พอออกมาพูดว่า อยู่ก่อนแต่ง ตอนแรกกังวลไหมว่าจะมีผลกระทบอะไรต่อเราทั้งคู่?

เค้ก: “ไม่คิดเลยครับ เพราะว่าคนแรกที่พูดก็คือผม แล้วตอนนั้นผมเล่นละครเรื่องแรกด้วยซ้ำ ละครเรื่องแรกผมก็ยังไม่ได้ออกเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะด้วยความรู้สึกของผมที่มีต่อเขา มันไม่เหมือนความสัมพันธ์ที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่า คนนี้คือคนที่ใช่ตั้งแต่เราเล่นละครด้วยกันเรื่องแรก (ซีรีส์ลูกผู้ชาย ตอน ปัทม์) ความรู้สึกผมมันบอกผมก็เลยกล้าที่จะบอกตั้งแต่วันแรกๆเลยนะว่าผมมาคุยกับคริสซี่ คบกับคริสซี่นะ”

คริสซี่: “เนี่ยจะเป็นฝ่ายที่เล่นตัวอยู่นาน ไม่กล้าบอกใครไม่กล้าลง Instagram คือคบกันไปสักระยะหนึ่งแล้วถึงลงรูปแรก แต่ว่าพี่เค้ก เขาจะแอบลงมาเรื่อยๆ ตลอดอยู่แล้ว ถ้าใครไม่รู้ก็อาจจะไม่รู้ แต่ถ้าใครรู้ก็จะรู้เลยว่าคือคริสซี่ เพราะกังวลว่าเดี๋ยวพอเปิดตัวไปอย่างยิ่งใหญ่แต่สุดท้ายก็เลิก กลัวแบบนั้น เพราะว่าช่วงแรกเรายังไม่มั่นใจว่าคนนี้เขาเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็รอให้มั่นใจชัวร์จริงๆ ว่าคนนี้น่าจะมาจริงจังกับเรา เราค่อยเปิดตัว”

เห็นว่าเค้กเป็นคนปิ๊งคริสซี่ตั้งแต่แรกเห็น?

เค้ก: “ใช่ครับ ก็คือเคยเจอกันแล้ว เดินผ่านกันนี่แหละ คือผมเห็นเขาก็ชอบเขาตั้งแต่แรกโดยที่ผมไม่ได้รู้นะว่าเขาเล่นอะไรมา หรือเขาเป็นดาราช่องไหน ซึ่งวันนั้นเขาจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ”

คริสซี่: “คือเราอ่ะมีครูสอนแอ๊กติ้งคนเดียวกัน แล้วดันบังเอิญเดินสวนกันพอดี แล้วครูสอนแอ๊กติ้งอ่ะแนะนำให้รู้จักแล้วว่าคนนี้ลูกศิษย์ครูคนใหม่นะ ตอนแรกไม่ได้สนใจคือสวัสดีตามมารยาทแล้วก็คุยกับครูต่อ แค่นั้นเลย เราไม่ได้สนว่าผู้ชายคนนี้คือใคร แล้วพอได้มาถ่ายละครด้วยกันวันแรก เขาก็ถามว่าจำได้ไหมเนี่ยอยู่กับครูวันนั้น นี่ก็เลย อ่อ เหรอ บังเอิญจัง”

 

แล้วเค้กไปตะล่อมจีบได้ยังไง?

เค้ก: “ก็เนียนๆ ไปครับ เพราะเหมือนเราเจอเขาตอนแรก เขาเพิ่งเลิกกับแฟนเก่า ก็เลยไปถาม โอเคไหมโอเคใช่ไหม”

คริสซี่: “มาเป็นกำลังใจแบบเนียนๆ แล้วก็ชวนคุยเรื่องถ่ายละครด้วยกัน จำได้ว่าครั้งแรกที่ทักมาทักมาในข้อความไอจีว่า วันนี้ขอโทษนะที่ทำให้นาน เพราะว่าเขาอ่ะเล่นไม่ดี ทำให้ถ่ายนานมาก ซี่ก็ยืนรอเขานานเหมือนกัน แต่ว่าก็บอกเขาว่าไม่เป็นไร ทุกคนก็จะมีวันที่เล่นละครไม่ได้อยู่แล้ว แล้วหลังจากนั้นก็เป็นการคุยกันมาเรื่อยๆ”

คริสซี่ไปประทับใจอะไรเค้ก?

คริสซี่: “คือไม่เคยเล่าที่ไหนเลยนะ เพิ่งนึกขึ้นได้เลย คือเขาเป็นคนที่สังเกตว่าซี่ไม่ค่อยกินน้ำในกองถ่าย คือเป็นคนกินน้ำน้อยมาก เวลาที่พี่ๆ สวัสดิการเอาน้ำมาให้ก็คือขวดเล็กขวดหนึ่ง ทั้งวันยังไม่หมดเลย แล้วพี่เค้กก็ถามว่า เราสังเกตทำไมถึงกินน้ำน้อยจัง ซี่ก็เลยบอกว่าน่าจะเป็นเพราะว่าซี่เป็นคนไม่ชอบกินน้ำ แล้วก็จะมีน้ำบางยี่ห้อที่ซี่ไม่ชอบรสชาติ แล้วเขาถามว่าชอบยี่ห้ออะไร ซี่ก็จะบอกว่าเออมันมียี่ห้อนี้ที่ซี่กินแล้วรู้สึกว่าอันนี้อร่อยเป็นน้ำที่ซี่กินได้เยอะ

หลังจากนั้นไปถ่ายละครอีกวันหนึ่ง กลายเป็นว่าพี่สวัสดิการยื่นน้ำยี่ห้อนั้นมาให้ ซี่ก็เลยคิดว่าทำไมอยู่ดีๆ กองเปลี่ยนน้ำ เขาก็บอกว่ากองไม่ได้เปลี่ยนอันนี้ของซี่คนเดียว ซี่ก็เลยถามว่าทำไมใครซื้อมาให้ แล้วพี่ๆ สวัสดิการก็หันไปชี้ทางพี่เค้ก คือพี่ๆ สวัสดิการบอกว่าเมื่อเช้า เขายกมาเป็นลังเลย เขาส่งมาให้ซี่แล้วก็บอกว่าให้ซี่กินเยอะๆ คือเขาอ่ะทำอย่างนี้มาเรื่อยๆจนปิดกล้องเลยค่ะ กลายเป็นว่าทำให้ซี่กินน้ำเยอะขึ้นจริงๆ เป็นความประทับใจแรก เขาลงทุน เขาใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เรื่องสุขภาพ เขาตั้งใจจริงๆ”

 

เห็นบอกว่าถ้าได้แต่งงานกันแล้วจะไม่อยู่ประเทศไทย ความคิดนี้เริ่มมาได้ยังไง?

คริสซี่: “ด้วยความที่ซี่เป็นสัญชาติอังกฤษอยู่แล้ว แล้วก็จะไปอังกฤษทุกปี ก็มีความฝันว่าวันหนึ่งอยากโตขึ้นไปแล้วถ้าเกิดมีบ้านอยู่ไทยก็อยากจะมีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ที่อังกฤษด้วย เพราะว่าความรู้สึกซี่ ถ้าวันหนึ่งซี่มีครอบครัวซี่ก็อยากให้ครอบครัวแล้วก็ลูกๆ ของซี่ไปโตอยู่ที่อังกฤษ ไปใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ คือไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงนะคะ ไปอยู่ในทุ่งหญ้าภูเขาเลย

แล้วพอซี่เล่าให้พี่เค้กฟัง เขาก็เป็นคนที่ชอบธรรมชาติเหมือนกัน แล้วเขาก็มีความฝันว่าวันหนึ่งอยากให้ครอบครัวของเขาไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเหมือนกัน เลยคิดว่าในเมื่อซี่เป็นสัญชาติอังกฤษอยู่แล้ว ถ้าแต่งงานกันไปพี่เค้กก็จะได้สิทธิพิเศษที่ได้วีซ่าอยู่นาน วีซ่าคู่สมรส หรือวันหนึ่งอาจจะยื่นเป็นสัญชาติได้ มันก็เลยทำให้เราสองคนมีข้อได้เปรียบตรงนี้ มันก็มีโอกาสที่จะได้ไปอยู่มากกว่าคนอื่น เลยคิดว่าควรจะใช้โอกาสตรงนี้ ควรจะใช้มัน

แล้วก็คิดว่าหลังจากเคลียร์ทุกอย่างที่เมืองไทยเสร็จ เรื่องเงินเรื่องบ้าน เรื่องครอบครัว คือเอาให้มันหมดภาระ เป็นไปได้ก็อยากจะย้ายไปอยู่ที่โน่น แต่คือคิดไว้มากกว่า5ปีแน่นอน ไม่ใช่เร็วๆ นี้ หรือก็คิดว่าถ้าถึงจุดหนึ่งแล้ว เราไม่สามารถที่จะย้ายไปอยู่ได้เต็ม 100% ก็อยากจะซื้อบ้านอีกหลังหนึ่งไว้เผื่อบินไปกลับ”

เค้ก: “เพราะว่าถ้าเกิดมีลูก ก็อยากจะให้ลูกของเราไปใช้ชีวิตอยู่ที่นู่น ไปเรียนที่นู่น ไปมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

มีวางแผนคิดไปถึงลูกแล้ว เราอยากมีสักกี่คน?

เค้ก: “3ครับ(หัวเราะ)”

คริสซี่: “อันนี้คือ ณ ตอนนี้นะคะ เผื่อถึงจุดนั้นอาจจะเปลี่ยนใจเหลือหนึ่ง”

ฝันถึงงานแต่งยังไงบ้าง?

เค้ก: “เล็กๆ เลยครับ จะมีญาติผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ แล้วก็เพื่อนสนิททั้งสองฝ่าย แค่นี้”

คริสซี่: “จัดเล็กๆ ไม่ได้จัดโรงแรมด้วย กำลังจะคิดว่าจัดในร้านอาหาร มินิมอล เล็กๆ ให้เราสามารถเอ็นจอยกับทุกคนได้จริงๆ”

แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่คุยกันมา เราทั้งคู่ไม่ได้ใช้คำว่าแฟน?

เค้ก: “คือเค้กอ่ะไม่เคยขอคริสซี่เป็นแฟน ไม่เคยเลย ไม่มีวันครบรอบหรือวันอะไรเลย แปลกไหม”

คริสซี่: “แต่เขาเคยถามนะ ช่วงแรกๆ ว่าถ้าเขาไม่ขอเป็นแฟนซี่จะโอเคไหม คือ ณ ตอนนั้นมันมีสองประเด็น หนึ่งคือซี่เพิ่งออกจากความสัมพันธ์ที่ยาวนานมา แล้วซี่ก็ไม่ได้รีบอยากจะเป็นแฟนกับใคร เพราะเราก็เพิ่งจะโสดมาได้แป๊บเดียวและบวกความที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน เราก็เลยคิดว่าไม่รีบ ค่อยๆ คุยกัน ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องขอนะถึงจะได้คุยต่อ แต่ซี่ก็คิดว่าพอถึงจุดหนึ่งก็คิดว่ามันควรจะมีไหมสถานะ

เพราะสำหรับซี่ตอนแรกคิดว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความชัดเจน แต่ปรากฏว่า พออยู่ไปเรื่อยๆ สถานะมันไม่จำเป็นเลยจริงๆ เพราะว่าสุดท้าย เขาปฏิบัติต่อซี่ดีกว่าคนอื่นๆ ที่เราเรียกว่าแฟนด้วยซ้ำ คือคำว่าแฟนมันไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกเลยว่าความสัมพันธ์นี้มันจะดีขึ้น มันอยู่ที่คนนั้นจริงๆ ซี่ก็เลยคิดว่าไม่เป็นแฟนก็โอเค แบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้อะไรๆ มันแย่ลงเลย แล้วหลังจากนั้นก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆเลยค่ะ ไม่ได้เป็นแฟน”

แต่ด้วยความที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ จะให้ความสำคัญวันครบรอบ หรือเฝ้ารอของขวัญจากวันครบรอบ เราไม่มีโมเมนต์นั้นเลยใช่ไหม?

คริสซี่: “คือถ้าเป็นเมื่อก่อนซี่จะรู้สึก สมัยก่อนพวกวันครบรอบพวกนี้ คือวันที่เราจะได้ถูกปฎิบัติเอาใจเป็นพิเศษ แต่สำหรับพี่เค้ก เวลาที่อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกว่าทุกวันที่อยู่ด้วยกันซี่ถูกเอาใจดีทุกวันเสมอ ก็เลยคิดว่าต่อให้มีวันพิเศษมันก็ไม่ได้ดีไปกว่านั้นเลย เพราะว่าทุกวันมันดีอยู่แล้ว เราไม่ได้จำเป็นจะต้องรอให้มีวันครบรอบที่เราจะสามารถมีเดตหรือทำอะไรน่ารักๆให้กัน หรือซื้ออะไรให้กัน มันไม่จำเป็นจะต้องรอวันพวกนั้น วันไหนที่เราอยากจะทำเราก็ทำให้เลย”

เค้ก: “แล้วในเบสของเค้กเองก็ไม่ได้เป็นคนอินขนาดนั้น จริงๆ แล้ววันปีใหม่หรือวันอะไรต่างๆ คือไม่ได้ทำอะไรเลย คือเค้กเพิ่งมาอินวันปีใหม่แล้วก็เพิ่งเคยเที่ยวปีใหม่คือปีแรกที่ไปกับเขา เพิ่งเคยเคานต์ดาวน์ปีใหม่กับเขา เพราะส่วนใหญ่ปีใหม่ผมจะนอน”

คริสซี่: “แต่ว่าคริสซี่เป็นคนที่อินกับเทศกาลมากคริสต์มาส ปีใหม่จะอินมาก คือขอหน่อยเถอะรู้ว่าเป็นคนไม่อิน แต่ว่าไปด้วยกันเถอะ เพราะว่าคริสซี่ชอบมาก”

เคล็ดลับของคู่เรา อยู่ก่อนแต่งยังไง หรือมีวิธีพูดกับครอบครัวยังไง ให้ไฟเขียว?

เค้ก: “เริ่มของคู่เราก่อนนะครับ เค้กค่อนข้างให้ความสำคัญกับการพูดคุยกันทุกเรื่อง เรื่องเงินเค้กก็พูดกับคริสซี่ คริสซี่ก็พูดกับเค้ก เรื่องงานเรื่องทุกอย่าง ปัญหาที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราคิดอะไรก็จะพูดหมด แล้วกลายเป็นว่าตอนนี้ความสัมพันธ์เราเฮลตี้มากๆ คือพูดกันดีที่สุดครับ แล้วมันจะเป็นความสัมพันธ์ที่ถูกต้องและใช่มากขึ้น แล้วทีนี้มันจะนำพาไปสู่พ่อแม่ ถ้าเราทำทุกอย่างถูก เราทำทุกอย่างใช่ เราทำทุกอย่างเคลียร์ ของเราสองคนแล้ว ถ้ามันใช่พ่อแม่ก็จะยอมรับในตัวเราสองคน ก็ต้องพาเราไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นดีขึ้น”

คริสซี่: “ส่วนมากเขาก็จะสนับสนุนอยู่แล้วค่ะ ถ้าเห็นลูกตัวเองได้คบกับคนที่พาเราไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น”

เค้ก: “ใช่ เพราะคริสซี่ก็ค่อนข้างชัดเจนกับที่บ้านของเค้ก แล้วเค้กเองก็ค่อนข้างที่จะชัดเจนกับบ้านของคริสซี่เหมือนกัน คือเราเข้าทางตรอกออกทางประตู เราไม่ปกปิดใคร แม้กระทั่งพี่ๆ นักข่าว หรือพี่ๆ ที่ช่อง หรือใครก็แล้วแต่ เค้กไม่เคยปกปิดว่าเค้กคบกับคริสซี่ แล้วคริสซี่เองก็ให้เกียรติเค้กโดยการที่ไม่ปกปิดใครเหมือนกัน ว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกันแต่เราอ่ะคบกัน แล้วคือทำทุกอย่างให้ถูก แล้วทุกอย่างจะถูกต้องด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย”

คริสซี่: “แต่ว่ามันก็แล้วแต่บ้านนะคะ แต่คู่ของเราเป็นอย่างนี้ แล้วรู้สึกว่ามันเวิร์กที่สุด”

สุดท้าย มีความหวานอะไรจะพูดให้แฟนๆ ข่าวสดอิจฉาเล่นไหม?

เค้ก: “อีก2-3 ปีจะมีลูกแล้วนะ (หัวเราะ)”

คริสซี่: “คือเราสองคน เป็นคู่ที่ไม่หวานอยู่แล้ว คือเราอยู่กันเหมือนเพื่อน แต่เราทำให้อีกฝ่ายรู้ตลอดว่าเรารักนะ ก็บอกตลอดในแบบของเราที่ให้อีกคนหนึ่งรู้ว่าเรารักอยู่นะ”

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน