รัศมีแข ดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม วอนเข้าใจความหลากหลาย กลุุ่ม LGBTQ+ เสียภาษีเหมือนกัน แต่กลับย้อนแย้งไม่ได้สิทธิเท่ากัน

กระแสกลุ่ม LGBTQ+ ในไทย พยายามผลักดันให้มีการสมรสเท่าเทียมมาตลอด ด้านนักแสดงชื่อดังอย่าง รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ที่ได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกับแฟนหนุ่มที่ประเทศสวีเดนไปแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน ได้ออกมาสนับสนุนเพื่อให้กลุ่ม LGBTQ+ ชาวไทย ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับตนที่ได้สิทธิสมรสเท่าเทียมในประเทศสวีเดน วอนเข้าใจความแตกต่างหลากหลายของทุกคน กลุ่มLGBTQ+ เสียภาษีเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ได้รับสิทธิ

โดย รัศมีแข เผยว่า “เราจดทะเบียนสมรสตั้งแต่วันแต่งงานแล้ว เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว เราอยากแชร์เอาจริงสวีเดนที่เราอยู่ด้วยกฎหมายหรืออะไรต่างๆ มันถูกทรีทแบบทุกอย่างมันเท่าเทียมกันจนเราไม่รู้สึกอะไรเลย พอพักหลังเราเริ่มมองเห็น ติดตามข่าวเกี่ยวกับสมรสเท่าเทียม เรามีความรู้สึกว่า เฮ้ย เราอยู่ที่ๆ มันทำได้เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะแชร์แล้วก็ออกมาพูดถึงการสมรสเท่าเทียมตรงนี้ ถ้ามีหน่วยงานไหนอยากร่วมงานกับแขเพื่อพูดคุยถึงเรื่องนี้ คือใครหลายคนไม่ทราบอยากติดต่อมา อยากพูดคุย อยากให้แขร่วมงาน แขยินดี”

สำหรับแขมันดีและมีประโยชน์อย่างไรต่อ LGBTQ+? “แขมีความสุขว่ารสนิยมของคนเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องไปประกาศบอกใคร ร่างกายของเราทำอะไรก็ได้ เราจะเปลี่ยนจมูกกี่รอบก็ได้ เราจะผ่าข้างล่างของเรา เราจะใส่ เราจะนอนอะไรกับใครก็ได้ถ้ามันไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนนั่นคือรสนิยม แต่ท้ายสุดแล้วมองกันทุกคนมีความเป็นคนเหมือนกันหมด มีความเป็นมนุษย์เหมือนกันหมด อย่างที่แขบอกแขอยู่สวีเดน แขเสียภาษี LGBTQ+ ก็เสียภาษีแล้วทำไมเขาไม่ได้สิทธิ์ ตอนเอาภาษีทำไมเอา แน่จริงก็ไม่ต้องให้เราเสีย แต่พอเราเสียสิทธิ์ ตอนเสียภาษีก็บอกว่า คุณคือประชาชนนะ ฉันประชาชนทำไมฉันจะสมรสเท่าเทียมไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันย้อนแย้ง เพราะฉะนั้นสิทธิ์ที่เราเสีย เราควรจะได้มันถูกต้องเท่าเทียมแล้วก็เสมอกัน

สิ่งที่โพสต์ลงไปเราก็อยากจะสื่อให้เมืองไทยมีโอกาสแบบนี้? “อยากให้ แขเชื่อว่าหลายๆ คน LGBTQ+ หลายคนในเมืองไทยทุกคนรอคอยอยู่แม้กระทั่งเปลี่ยนคำนำหน้า เป็นนางสาวเป็นนายอะไรต่างๆ เพื่อที่จะเข้าใจในตัวเขาบวกกับการได้ใช้ชีวิตในสังคมได้ง่ายขึ้น อย่ามองว่าเป็นการเรียกร้อง มองว่าเป็นการซัพพอร์ตความหลากหลาย ความแตกต่างของมนุษย์ยุค 2022”

แขมีประสบการณ์ไหมที่เราจดทะเบียนสมรสแล้วเราได้ใช้สิทธิ์ตรงนั้นได้เต็มที่? “เอาตรงๆ ตอนนี้ผัวเซ็นอะไรทุกอย่างได้หมดเลย ทุกอย่างของสามีคือ นอนนิ่งๆ ถ้าคุณเขาหลับไปก็ เอ้า พ่อแม่ผัวเดินออกไปเลยค่ะ หลบค่ะ ดิฉันเดินมาก่อน (ยิ้ม) แต่ไม่ได้อยากได้นะคะ เพราะทุกวันนี้ไปๆ มาๆ ของเราจะเยอะกว่า (หัวเราะ) แต่ตอนนี้อันนี้คือเรื่องที่เครียดมาก เพราะด้วยส่วนตัวแขอยู่ในประเทศไทย แขเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะแขเป็นคนไทยแล้วสามีเป็นต่างชาติ เดี๋ยวแขต้องเอาไปเคลียร์ไปเช็คเพราะว่าครอบครัวแขอยู่ตรงนู่นหมด อะไรที่เซ็นให้ปกป้อง อันนั้นเขาได้ไปอยู่แล้ว (ยิ้ม) ง่ายๆ แต่ว่าในส่วนที่จดทะเบียนสมรสเท่าเทียมยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองตรงนี้ เราเลยไม่รู้ว่าเราจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้สามีได้ไหม เราก็อาจจะไปคุยกับทนายความแล้วเขียนพินัยกรรมอะไรแบบนี้”

ลำบากไหมกับการใช้ชีวิต 2 ประเทศ 2 กฎหมาย? “ไม่ ถ้าเรื่องสมบัติอาจจะมีนิดๆ หน่อยๆ บ้าง แต่ถ้าเรื่องปกติแขว่าเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรมาก แล้วอีกอย่างที่แขอยากจะฝากไว้นะ สำหรับประเทศไทยเรา ที่บอกว่าอาจจะเปิดในเรื่องของการท่องเที่ยว ต้อนรับนักท่องเที่ยว ความเป็น LGBTQ+ อย่าลืมนะ LGBTQ+ เวลาเขามาเที่ยว นอกจากความสนุก ทะเลที่สวยงาม ความเอ็นจอยที่เขาจะได้แล้ว ความเป็นอยู่ของ LGBTQ+ ในประเทศนั้นๆ เนี่ย มันจะถูกถามขึ้นเสมอ เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทย ถ้าเกิดไปถามเป็นยังไง พวกยูแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันได้ไหม โน… อ้าวมันก็อาจจะดูย้อนแย้งนิดหนึ่ง

หลังจากโพสต์ไปมีคนเข้ามาปรึกษาบ้างไหม? “ยังเลย แต่ก็มีคนที่ส่งเป็นไดเร็กต์เมสเสจมา ว่าเห็นพี่แขจดทะเบียนสมรสที่โน่น แล้วก็มีหลายคนที่บอกต้องไปสวีเดนแล้วล่ะ”

ในแง่ของสมบัติ เรายกอะไรให้ “น้องปกป้อง” บ้าง? “จะมีพวกประกันทำให้เด็กชายปกป้อง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เขียนพวกมรดก เดี๋ยวตกลงกับสามีก่อนว่าเอายังไง บ้านนี่เอายังไง (สามีเขาว่ายังไงบ้าง ที่เราเป็นแม่บุญธรรม?) เขาไม่ซีเรียสอยู่แล้ว อย่างของเขาตอนแรกเขาก็เซ็นทุกอย่างให้เรา เราก็บอกไม่ต้อง ให้ยูให้หลานยู เพราะเราต่างคนต่างไม่มีลูก ก็ให้เด็กๆ ดีกว่า”

รักระยะไกลทำยังไงให้มาถึงวันนี้ได้? “ไม่ต้องทำอะไรเลย ว๊าย…อีก 4 วัน 15 ปีแล้ว มันไม่ต้องทำอะไร เพราะว่าถ้าเราอยากพยายาม อยากอะไรเพิ่มขึ้น มันอาจจะเป็นจุดทำร้ายความสัมพันธ์ของแขก็ได้ เพราะจริงๆ ตอนนี้ทุกอย่างมันดีแล้ว ไม่ต้องเพิ่มเติม ไม่ต้องลดน้อยลงแค่ทำทุกอย่างให้มันพอดี เสมอต้นเสมอปลาย ไปแบบนี้เรื่อยๆ แค่นี้พอแล้ว”

บั้นปลายชีวิตเราจะใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน? “ก็กลับไปโน่นดีกว่าค่ะ กลับไปอยู่ที่โน่น เพราะครอบครัวเราอยู่ที่โน่น เมืองไทยไว้คิดถึงก็ค่อยบินกลับมาเที่ยวได้ ก็เดี๋ยวขอทำงานในวงการบันเทิง ถ้ามีงานก็จะทำไปเรื่อยๆ จนสุดความสามารถ แต่ถ้าจะหมดก่อน หมดเร็ว อันนี้เราไม่รู้ สุดท้ายก็อาจจะต้องขายบ้าน กลับไปอยู่โน่นก็ได้”

ได้แพลนไว้ไหม ว่าอายุเท่าไหร่จะกลับไป? “ประมาณ 45 เพราะมีความรู้สึกว่า อยากกลับไปในร่างที่เรายังแข็งแรงอยู่ ไม่ใช่ออดๆ แอดๆ เดี๋ยวต้องลุ้นอีกที ตอนนี้ 35 แล้ว ฉันขอ 40 ก่อน (หัวเราะ) เพราะทุกครั้งที่อ่านเรื่องมะเร็งแล้วจิตตก ไม่มีใครสู้มันได้ เราก็เอา 40 ก่อนตอนนี้”

กลับไปครั้งล่าสุด เขาเป็นห่วงอะไรเราไหม? “เขาเป็นห่วงเรื่องการทำงานเยอะ ทำงานหนัก เพราะทุกครั้งที่เราคุยกันก่อนนอน เขาก็จะถามว่าทำงานอีกแล้วเหรอ ซึ่งเขารู้ว่าสุขภาพเรามันโอเค แต่เขาห่วงสุขภาพข้างในมากกว่า การนอนน้อยอะไรแบบนี้ เพราะว่าอย่างที่บอก ถ้านอนน้อยชอบมีโรคแปลกๆ อันนี้เราก็ต้องระมัดระวังไว้เหมือนกัน ไม่อยากทำงานเอาเงินที่ได้มารักษาตัว อยากให้ทุกอย่างมันอยู่ในความพอดี”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน