ลานนา คัมมินส์ เผยใช้เวลานาน กว่าจะผ่านแรงกดดันชีวิต เผชิญโรคซึมเศร้า เพิ่งหยุดทานยาไม่ถึงปี หลีกหนีคำบูลลี่ ไม่เล่นโซเชียล

ห่างหายจากวงการไปกว่า 10 ปี นักร้องสาว ลานนา คัมมินส์ ซึ่งกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด จ.เชียงใหม่ ดูแลธุรกิจร้านอาหาร เฮือนสุนทรี ของครอบครัวที่เปิดมานานกว่า 20 ปี

โดย ลานนา คัมมินส์ เตรียมกลับมาขึ้นคอนเสิร์ตร้องเพลงอีกครั้ง โดยมาร่วมงานแถลงข่าวคอนเสิร์ต “Cassette Festival 2” ที่ อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส พร้อมเปิดใจถึงชีวิตที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากโควิดเช่นเดียวกับทุกคน รายได้หายไปครึ่งหนึ่ง ประสบปัญหาพนักงานในร้านไม่มี ต้องลงมาทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่อยู่หน้าเตา เสิร์ฟเอง ทำความสะอาดร้าน ยันร้องเพลง อีกทั้งอัพเดตภาวะโรคซึมเศร้าที่เผชิญอยู่ตอนนี้ เพิ่งหยุดทานยาไปไม่นาน มีวิธีรับมือได้ดีขึ้น หลีกเลี่ยงคำบูลลี่ต่างๆ ด้วยการไม่เล่นโซเชียล

อัพเดตชีวิตที่ผ่านมา? “ช่วงโควิดได้ไปช่วยที่ร้านอาหารของที่บ้านมากขึ้น อยู่ในครัว หน้าเตาเอง ทำตำแหน่งอื่นๆ ที่คนขาด เราก็เข้าไปเสริมแทน เวลาเดียวกันก็แต่งเพลงไปด้วยค่ะ ร้านอาหารเฮือนสุนทรี ตรงถนนป่าตัน ติดแม่น้ำปิงเลยค่ะ ร้านอาหารที่เชียงใหม่ เปิดมานาน 20 กว่าปีแล้วค่ะ เป็นธุรกิจร้านอาหารของที่บ้านของคุณแม่”

ย้อนกลับไปอัลบั้มแรก ตอนนั้นดังมาก? “จำได้ค่ะ เพราะมันเป็นบรรยากาศความทรงจำที่ลืมยากค่ะ แฟนเพลงก็มีถามหาอยู่ว่าทำไมหายไปนาน อยากให้กลับมาร้องเพลงใหม่ จริงๆ ก็ไม่ได้หยุดร้องเพลงนะคะ ร้องเพลงมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าไม่ได้ออกสื่อทั่วๆ ไปเท่านั้นเองค่ะ”

ครั้งนี้กลับมาร่วมคอนเสิร์ตกับพี่น้องในวงการอีกครั้ง? “ในการที่ได้กลับมาร่วมงานกับพี่ๆ น้องๆ ก็สนุกค่ะ มีแต่ความสนุกสนาน และอยากเจอแฟนๆ ด้วย อยากให้ทุกคนร่วมสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกันใหม่ค่ะ ตอนที่ค่ายติดต่อให้มาขึ้นคอนเสิร์ตก็ดีใจค่ะ วันนี้ได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว ดีใจมาก”

จากอัลบั้มชุดแรกกี่ปี่แล้ว? “ประมาณ 20 ปีค่ะ ตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก ครั้งสุดท้ายที่มาร่วมงานคอนเสิร์ต The Lost Love Songs ของเอไทม์ที่จัดที่พารากอน ประมาณ 5 ปีที่แล้ว”

แฟนคลับยังคิดถึง เรียกร้องอยากให้กลับมาร้องเพลง? “ก็มีเรื่อยๆ ค่ะ แฟนๆ ก็อยากให้มาร้องเพลง ก็ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนเลยนะคะที่คอยถามหาพูดถึง ไม่งั้นเอไทม์คงไม่ชวนมา(หัวเราะ) เพราะเอไทม์บอกมีแฟนๆ เรียกร้องกันเยอะ ก็เลยชวนลานนามาร่วมคอนเสิร์ตในครั้งนี้ ก็เลยได้มีโอกาสได้มาเจอกับทุกคน หวังว่าเราจะได้สนุกด้วยกัน ขอบคุณจากใจจริงๆ เจ้า พร้อมเตรียมร่างกายโชว์แล้วเพราะศิลปินทุกคน ต้องไม่ให้น้อยหน้าเด็ดขาด ให้สนุกเต็มที่ไปเลยค่ะ”

ใช้ชีวิตอยู่เชียงใหม่เป็นหลัก? “ใช่ ก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตที่เชียงใหม่ และต่างประเทศด้วย แต่ตั้งแต่โควิดมาก็อยู่เชียงใหม่ตลอดเลย จะมากรุงเทพฯ เฉพาะมาทำงานค่ะ”

ที่ร้านเริ่มมีลูกค้านักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นไหม? “ตอนนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาแล้วค่ะ แต่ก็ต้องใจเย็นๆ (หัวเราะ) ที่ร้านช่วงโควิดก็ได้รับผลกระทบเยอะค่ะ แล้วผลกระทบที่ยังคงพยายามจัดการกับมันอยู่ตอนนี้คือเรื่องขาดแรงงานที่มีคุณภาพ เพราะหลายร้านที่อยู่ในจังหวัดเดียวกันเขาก็เจอกับสภาวะเดียวกัน ขาดแรงงานค่ะ เราก็เลยต้องมาลงมือทำอะไรกันเองหมด จากวัย 40 ไม่คิดว่าต้องมาทำ (หัวเราะ) แต่ว่ามันก็เป็นเหมือนกันหมด”

ไม่มีพนักงาน? “ช่วงโควิดหลายๆ คนมีความจำเป็นต้องกลับบ้าน แล้วก็ต้องหาอะไรทำ เขาก็คิดว่ามันก็อยู่ได้นี่นาเขาก็ไม่กลับมาทำงานแล้ว เพราะเขาทำอะไรของเขาที่บ้านเขาก็อยู่ได้รายได้แค่นั้นเขาก็โอเค เขาก็เลยไม่กลับมาทำงาน ถามว่าเปิดรับสมัครใหม่ไหม คือเราหาที่มีคุณภาพยากค่ะ คนที่คุ้นเคยกันเขาก็ไปทำอะไรของเขาแล้ว”

ช่วงที่หนักๆ ทั้งแม่ ทั้งนา ก็ต้องมาทำอะไรกันเองหมด เพราะพนักงานเหลือ 2 คนทั้งร้าน เราก็ต้องทำตั้งแต่ทำความสะอาดยันร้องเพลง (หัวเราะ) มันก็เป็นความจำเป็นเนาะ ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นแต่ว่าก็ยังไม่นิ่งนอนใจกับอะไรใดใดทั้งสิ้น เพราะว่าสภาวะทุกอย่างในประเทศมันยังขาดความมั่นคง ขาดเสถียรภาพ ก็เลยต้องพร้อมรับกับสถานการณ์ที่มันสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ณ ตอนนี้ค่ะ”

กระทบรายได้ของร้าน? “เรื่องรายได้ครึ่งครึ่งเลยค่ะ จากเมื่อก่อนเราเปิดได้ 3 โซน จุได้ประมาณ 300 กว่าที่นั่ง ตอนนี้เหลือแค่ 100 กว่าที่นั่ง 20 โต๊ะ หายไปมากกว่าครึ่งค่ะ”

สุขภาพช่วงนี้เป็นยังไง? “สุขภาพร่างกายก็เรื่อยๆ มันควรจะดีกว่านี้ถ้าเกิดมีเวลาให้ตัวเองกว่านี้ ตอนนี้ต้องเริ่มเตรียมตัวสำหรับคอนเสิร์ตก็ต้องเบาลงเวลาที่เราให้กับทางร้าน เริ่มมาสนใจตัวเองมากขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อม”

ช่วงที่ผ่านมาเจอโควิดเครียดแค่ไหน? “โอ้โห ผมหงอกมากเลย (หัวเราะ) เราไม่เคยเจอกับภาวะนั้นมาก่อน เราก็ไม่รู้ว่าต้องแก้ไขสถานการณ์ยังไง บางทีมันมืดแปดด้าน เราก็ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ได้แต่หัดปล่อยวางบ้าง พยายามแก้ไขมันไปทีละอย่าง ไม่เอามารวมกัน”

ภาวะโรคซึมเศร้าดีขึ้นไหม? “ตอนนี้ดีขึ้นมากค่ะ เพราะว่าเราได้รับแรงซัพพอร์ตจากครอบครัว จากเพื่อนๆ และเราก็รู้แล้วว่า วิธีรักตัวเองมันเป็นยังไงต้องทำยังไง เราไม่ควรจะเก็บๆ อะไร พอจะรู้วิธีจัดการกับมันระยะยาวได้ดีขึ้น ในระยะสั้นก็พยายามหลีกเลี่ยงอะไรที่มันกระตุ้นเท่านั้นเอง ก็คุยกับคุณแม่พยายามสื่อสารกันให้เข้าใจ มากที่สุด ต้องสื่อสาร”

ต้องทานยาตลอดไหม? “ก่อนหน้านี้ก็ทานค่ะ แต่เพิ่งได้หยุดยายังไม่ถึงปีเลยค่ะที่หยุดยาไป จริงๆ นาเป็นตั้งแต่วัยรุ่นเลยนะคะ ตั้งแต่อายุ 10 กว่า แต่เราไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร มารู้ตัวเพราะว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้น เขาก็บอกว่าอันนี้มันไม่ปกตินะ ความคิดของยูมันไม่ปกติ ยูควรจะไปพบจิตแพทย์ให้เขาได้ช่วยแนะนำวิธีการคิดต่างๆ พอไปพูดคุยเขาก็บอกว่าเราป่วยแบบนี้นะ”

ตอนนี้กลับมาสดใสเข้มแข็งขึ้น? “ต้องใช้เวลา นานมาก กว่าจะผ่านมาได้ มันต้องยอมรับและรู้ตัวว่าเราเป็นอะไร หาทางที่จะช่วยเหลือตัวเองให้มันดีขึ้น ให้มันหาย ถ้าเราปฏิเสธว่าฉันไม่เป็นๆ มันก็ไม่ดีขึ้น”

ไม่เล่นโซเชียล?ไม่ค่อยเล่นค่ะ เพราะนาคิดว่าโซเชียลมันอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถจะกระตุ้น บูลลี่ก็มี คนรักมีคนชังเราก็มี นาก็เลี่ยงไปเลย เพราะว่าคนที่รักเรารู้ว่าเขาคือใคร แต่ว่าบางทีมันไม่จำเป็นต้องมานั่งเจอบูลลี่ มันไม่จำเป็นก็เลยหลีกเลี่ยงค่ะ

ยุคตอนที่ดังไม่มีโซเชียลเจอแรงกระแทกยังไง? “มันเจอตั้งแต่เด็กค่ะ คือคุณแม่มีชื่อเสียง เราก็เลยรู้สึกแรงกดดันทางสภาพแวดล้อมต่างๆ ผู้คน บางทีเราอาจจะคิดไปเองก็ได้ เพราะเราก็ไม่รู้ตัวเราก็เด็ก เมื่อก่อนมีอะไรก็ลงหนังสือพิมพ์ บางทีก็เจอพาดหัวข่าวแรงก็มี แต่ว่าโดยรวมแล้วสิ่งเหล่านี้มันสะสมมาเรื่อยๆ มันไม่ใช่ว่าเป็นเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง สะสมมาเรื่อยๆ เก็บๆ ถ้าเกิดเราไม่เก็บมันก็โอเค”

กลับมาทำงานในวงการแล้ว กังวลโซเชียลไหม? “นาไม่กลัว เพราะนาไม่เล่นโซเชียล ถ้าเกิดว่าเขาจะพูดเขาก็พูดของเขาเอง เราไม่สามารถจะไปบังคับอะไรใครได้ แต่ว่าเราสามารถบังคับได้คือมุมมองความรู้สึกของตัวเอง เราอาจจัดการกับมันได้ แต่คนอื่นเราจัดการไม่ได้หรอก มันแล้วแต่ว่าเขาจะให้เกียรติเรามากน้อยแค่ไหน นาก็เลยใช้วิธีการของตัวเอง ฉันไม่รับรู้ดีกว่า จะรับรู้ในสิ่งที่ต้องการจะรับรู้ อันไหนที่มันไม่มีความจำเป็น ไม่มีประโยชน์ในชีวิตนา ก็เลือกที่จะไม่เสพ ไม่รับรู้ดีกว่า

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน