เพชร สหรัตน์ เปิดใจสาเหตุเลิกภรรยา นินิว CEO น้ำปลาร้า จบรัก 5 ปี ไปไม่รอด เริ่มจากปัญหาธุรกิจ เผยยังรักและเป็นห่วง ปัดโสดแล้วบินเสริมหล่อที่เกาหลี

หลังนักธุรกิจสาว CEO น้ำปลาร้าแบรนด์ดัง นินิว นิภารัตน์ สาลิกา ภรรยาของนักร้องนักแต่งเพลงลูกทุ่งชื่อดัง เพชร สหรัตน์ ประกาศจบความสัมพันธ์กับสามีนักร้องมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ล่าสุด (6ก.ค.) เพชร สหรัฐ ได้เปิดใจกับ ข่าวสดออนไลน์ ถึงสาเหตุการไปต่อไม่ได้ครั้งนี้ ซึ่งมาจากการทำธุรกิจที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน

“จริงๆ โฟกัสหลักๆ เลยมันคือเรื่องงาน พอเราทำงานร่วมกัน ทำธุรกิจร่วมกัน มันก็อาจจะมีความคิดไม่ตรงกันบ้าง อาจจะขัดแย้งกันในเรื่องของการทำงาน เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คบกันมา5 ปี หลักๆ เลยจะเป็นเรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน และด้วยวัยที่น้องเขาอายุประมาณ 30 ส่วนเรา 42 ความคิดอาจจะคนละเลเวล แต่งานบางจุดก็ยังช่วยกันอยู่ บางส่วนพี่ก็ยังเป็นที่ปรึกษาให้อยู่ ส่วนน้ำปลาร้าตำนัวธุรกิจหลัก พี่ก็ยกตรงนี้ให้น้องเขาดูแลคนเดียว”

จบกันด้วยดีไหม? “ด้วยดีครับ ดูจากที่น้องเขาโพสต์ก็ไม่มีอะไรที่ร้ายแรง เอาง่ายๆ ถ้ามีการทะเลาะกันอย่างหนัก มันจะไม่มีการจบแบบนี้ แต่อันนี้มีการพูดคุยกันมาในระยะหนึ่งแล้วว่าโอเคถ้าเราอยู่ในจุดตรงนี้ มันไม่สบายใจทั้งสองฝ่าย เราก็ถอยคนละก้าว ส่วนคอนฟิกในเรื่องงานที่มันไม่ลงรอยกัน พี่ก็ถอยแล้วก็ให้น้องเขาดูแลต่อ แล้วพอเราถอยจากธุรกิจตรงนั้นก็ทำให้เรามีเวลามากขึ้นแล้วก็จะมาโฟกัสในเรื่องของงานบันเทิง”

ด้วยความที่อยู่ด้วยกันนานและทำธุรกิจด้วยกันมีตัวไหนที่เรายังทำด้วยกันอยู่และตัวไหนที่ยกให้น้องเขาไปเลย? “แบรนด์สินค้าจะมีประมาณสองแบรนด์ แบรนด์ตำนัว จริงๆ แล้วจะมีหุ้นคนละครึ่ง น้องครึ่งนึงพี่ครึ่งนึงแต่พอพูดคุยและเจรจากันเสร็จปุ๊บพี่ก็โอนหุ้นส่วนทั้งหมดของพี่ให้กับน้องเขาหมดเลย แบรนด์ตำนัวก็โอนทั้งโรงงานให้น้องเขาไปหมดเลย ตอนนี้น้องนิวเขาก็จะถือหุ้นคนเดียวร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวพี่ก็จะมีโรงงานที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นก็จะเป็นโรงหมักปลาร้า ทำพวกซอสมะเขือเทศเพื่อที่จะส่งให้กับโรงงานปลากระป๋อง แล้วก็จะเป็นแบรนด์ของพี่หม่ำ ปลาร้าหม่ำก็จะเป็นส่วนของพี่ที่ทำ แล้วก็มีธุรกิจที่จะทำคือพวกโรงแรมที่สกลนคร อันนี้ก็จะเป็นส่วนที่พี่จะต้องดูแลต่อไป ก็เหมือนว่าแยกธุรกิจการชัดเจน”

อันนี้ก็เป็นส่วนธุรกิจ แล้วส่วนสภาพจิตใจเป็นยังไงบ้าง? “คือสภาพจิตใจปกติ คือจริงๆแล้วพี่อยู่กับน้อง มันก็เหมือน หนึ่งเป็นแฟน สองเป็นเหมือนพี่เป็นเหมือนน้อง สามเป็นเหมือนพ่อเหมือนลูก บางทีก็อาจจะมีโมเมนต์ที่มันต่างกัน ส่วนตัวพี่ก็อาจจะเป็นคนที่พูดไม่เพราะสักเท่าไหร่ มันก็อาจจะเป็นปัญหาเล็กๆ สะสม ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ บางทีคนเราอ่ะ ความเอาใจใส่มันอาจจะไม่มีตรงนั้น แล้วก็สองเวลาตัดสินใจของพี่ ความเคยชินคือ พี่ทำธุรกิจคนเดียวมาตลอด เวลาพี่ตัดสินใจทำอะไร พี่ก็จะตัดสินใจทำเลย แบบ โชะๆ แล้วพอมาทำงานร่วมกัน มันก็เลยติดนิสัยเดิม ไม่ได้สนใจว่าเขาจะมองยังไง เขาจะเห็นด้วยไหม เขาก็อาจจะไม่โอเคกับตรงนี้ด้วยก็เลยมีการพูดคุยกันว่ามันจะไปยังไงแบบไหน เราก็พยายามแก้หลายรอบ แต่ก็ยังติดกับสิ่งเหล่านี้อยู่ มันก็เลยเป็นการที่แก้ไม่ได้”








Advertisement

“หลายคนอาจจะมองว่าแค่เรื่องงานมันไม่ได้เกี่ยวขนาดนั้นหรอก แต่จริงๆ มันเป็นไปได้เพราะว่าเรื่องงานมันก็อาจจะทำให้มีการเคืองกัน งอนกัน โกรธกัน เหมือนไม่ให้เกียรติกันในการตัดสินใจหลายๆ อย่าง เลยเป็นเหตุผลเหมือนที่น้องเขาโพสต์เลยครับว่าเราก็อาจจะก้าวต่อกันไปไม่ได้ ก้าวต่อไม่ไหวก็ต้องหยุดตรงนี้เอาไว้ แล้วเราก็จะหาแนวทางหาอะไรทำเพื่ออนาคตของตัวเอง”

ตัดสินใจที่จะเลิกกันนานแค่ไหน? “ประมาณ 4-5 เดือน เราถอยมาแล้วเราก็ถามตัวเองว่าจะไปยังไง แต่ตอนที่ถอยออกมาก็พยายามที่จะคุยกันอยู่ แต่เงื่อนไขทั้งสองฝ่ายมันอาจจะจูนกันได้ไม่ตรงกัน พอเราเอาข้อเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายมาแชร์กัน แล้วบางส่วนที่เขาเสนอเราอาจจะทำได้แต่บางส่วนก็อาจจะทำไม่ได้ ก็เลยลองถอยไปใช้เวลาให้กับชีวิตของตัวเองว่ามันจะเป็นยังไง แต่เหนือสิ่งอื่นใดถ้ามันมีปัญหาอะไรมันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราจะต้องให้คำปรึกษา เพราะธุรกิจที่ทำมามันทำมาด้วยกัน แต่เราก็ยอมถอยออกมาให้น้องเขาได้ทำและเป็นตัวของตัวเอง เพราะว่าถ้าเกิดเขาทำงานกับเรา เราก็จะมัวแต่คิดว่าเราอาวุโส ตัดสินใจอะไรเอาตัวเองเป็นใหญ่ เราก็เฟดตัวเองออกมาดีกว่า เพราะว่าอยู่ในนั้นเราก็คงจะยังใช้พฤติกรรมเดิม เพราะถ้าเราพูดคุยกันเรื่องงานแล้วเขม่นกัน มันก็จะมีเรื่องอื่นตามมา มันก็จะมีเคืองตรงนี้ แต่ว่าจุดสตาร์ทมันคือเรื่องงานก่อนจะไปเรื่องอื่น ก็เลยตัดสินใจแยก”

แต่เรายังเป็นพี่น้องกันต่อได้ใช่ไหม? “ใช่ครับ ดีกว่ามันจะลามจนเราไม่เหลือความรู้สึกดีอะไรต่อกัน ก็เลยต้องขอความสัมพันธ์ตรงนี้เอาไว้”

ยังรักยังห่วงไหม? “แน่นอนครับ ก็ยังห่วง จริงๆ เคยคุยกับเขาตลอด คือเขาเป็นคนน่ารัก นิวเป็นคนดีนะ เป็นคนมีน้ำใจ แต่อาจจะด้วยความใจร้อน เราก็ใจร้อน เขาก็ใจร้อน มันก็อาจจะมีอะไรที่ขัดแย้งกันอยู่ตรงนี้ แต่ถามว่ารักและเป็นห่วงมันก็คือรักและเป็นห่วง แต่เขาเป็นเด็กน่ารักนะครับบอกเลย และเป็นคนขยัน”

จากนี้วางชีวิตรักของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง หลังจากผ่านประสบการณ์มาหลายรูปแบบ? “ตอนนี้คงเคลียร์เรื่องงาน เพราะอย่างโรงงานที่บอกว่ายังสร้างไม่เสร็จ เพราะอันนั้นมันเป็นกระบวนการค่อนข้างใหญ่ อาจจะเสร็จสักพฤศจิกายน ไหนจะเรื่องโรงแรมอีกที่กำลังจะสร้าง คือตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะว่าการที่เรามีแฟน จะไปคบใครมันต้องมีเวลาให้เขาด้วย คือเรามีประสบการณ์เรื่องความรักและเวลาเราเลิก เราก็จะเก็บข้อผิดพลาดของเรามาปรับปรุง ตอนนี้ก็เลยยังโฟกัสเรื่องธุรกิจเป็นหลัก เพราะทุกอย่างมันใหม่หมดเลย”

โสดเลยไปเสริมหล่อ? “คือจริงๆ อ่ะ พี่คิดว่าพี่ออกจากวงการไปแล้ว แต่ว่าพี่ยังติดสัญญากับค่ายอยู่ประมาณสามปี แล้วค่ายเขาไม่ยอม ยื่นโนติสมาว่าพี่ต้องกลับไปร้องเพลงไม่งั้นอาจจะโดนฟ้อง แล้วพอเราจะต้องกลับไปด้วยเงื่อนไขสัญญา แล้วมีทางโรงพยาบาลเขาให้เราไปเป็นเคสรีวิวด้วย ก็ทำเยอะหน่อย จากน้ำหนัก 89 ตอนนี้พี่เหลือ 70 กว่า เพราะไขมันดูดออกหมดเลย ทำโครงหน้าทุกอย่างใหม่หมดเลย”

กลัวไหมตอนจะทำ? “ก็มีบ้าง แต่เรามีเป้าหมายว่าทำมาเพื่ออะไร ก็สู้กับมัน และพยายามทำใจให้สบาย พอผ่าตัดออกมาเป็นที่น่าพอใจ เราก็มีความสุข อีกเดือนกว่าๆ ก็น่าจะเข้าที่แล้ว”.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน