‘นุ่น-ศิรพันธ์’น้ำตาไหล!! สุดซาบซึ้งได้รับเงินสนับสนุนจากในหลวง - 21 วันความเสียใจไม่สูญหาย

วันที่ 2 พ.ย. ที่ ห้อง Thai Screening Room ชั้น 10 โรงแรมอวานี ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา นักแสดงสาวมากฝีมือ เดินทางมาร่วมงานประกาศผลรางวัลประกวดภาพยนตร์กึ่งสารคดีสั้น “ธรรมผ่านเลนส์-Dharma Lens Contest 2016” พร้อมให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ถึงความรู้สึกที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

โดย ‘นุ่น’ กล่าวว่า “นับจากวันที่พระองค์สวรรคตจนถึงวันนี้ผ่านมา 21 วันแล้ว แต่เมื่อสักครู่นี้ก่อนเริ่มงานมีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี นุ่นก็ยังมีน้ำตาซึมอยู่เลย รู้สึกเหมือนบางอย่างขาดหายไปและมันเบาหวิวมากๆ ความเสียใจไม่หายไปจากความรู้สึก อย่างนุ่นไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นมาอาทิตย์กว่าๆ ความน่ารักของที่โน่นคือพอทุกคนรู้ว่านุ่นมาจากเมืองไทย แม้แต่คนต่างชาติที่ไม่ใช่แค่คนญี่ปุ่นทุกคนจะเข้ามาจับมือแล้วบอกว่าเสียใจกับการสูญเสียพระมหากษัตริย์ของเราด้วย พอได้ยินแบบนั้นนุ่นก็รู้สึกว่านี่มันไม่ใช่แค่เรื่องของเรา แต่เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกก็เห็นใจและเข้าใจ ทุกคนรู้สึกสูญเสียเหมือนกันเพียงแต่อาการที่เป็นคงไม่เท่ากันด้วย ความที่เราเป็นคนไทยจะรู้สึกหนักหนามากกว่า วิธีการให้กำลังใจตัวเองคือการที่ต้องลุกขึ้นมาทำงานโดยที่ไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง อย่างทุกวันนี้เปิดทีวีหรือดูข่าวในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็ยังเห็นสมเด็จพระเทพฯ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ อยู่ ฉะนั้นพวกเราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ความรู้สึกเสียใจยังมีอยู่ได้แต่ต้องไม่ลืมหน้าที่”

“นุ่นน้อมนำเอาคำสอนและพระราชดำรัสของพระองค์ท่านมาใช้กับชีวิตเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องความพอเพียงเป็นเรื่องที่เข้ากับทุกหัวข้อในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นการกิน การอยู่ หรืออะไรก็ตาม อีกหนึ่งเรื่องที่ชอบมาก คือ เรื่องของการทำงานที่ไม่ใช่สักแต่ว่าทำงาน แต่คือการทำงานแบบรู้จริงและทุ่มเท ซึ่งก็จะเห็นได้จากพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่พระองค์ท่านทรงทำ พระองค์จะลงพื้นที่ถือแผนที่และศึกษาข้อมูลให้รู้จริงที่สุด สิ่งที่นุ่นกับท็อป(พิพัฒน์)ทำอยู่ทุกวันนี้ในเรื่องของบริษัทเกี่ยวกับการดีไซน์ ซึ่งไม่ใช่แค่ดีไซน์ไปอย่างเดียว แต่ต้องมีการไปศึกษาให้รู้จริง เพราะพวกเรามีต้นแบบที่ดีมาก คือ พระองค์ท่าน” นักแสดงสาวกล่าว

ทำงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งในหลวงทรงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตลอด ดาราสาวนิ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “อย่างที่เคยบอกว่านุ่นกับท็อปทำเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำศูนย์การเรียนรู้เรื่องงานออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร มีช่วงที่ทำงานแล้วเกิดปัญหาความยุ่งยากอุปสรรคต่างๆ นานา จนตอนนั้นรู้สึกและเกือบไปต่อไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นบุญของเราสองคนก็คือการได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ นุ่นกับท็อปเลยคุยกันว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อจากนี้พระองค์ท่านทรงเห็นความสำคัญของงานที่พวกเราทำและได้รับการสนับสนุนด้วย ดังนั้นจะสานต่องานนี้ต่อไปให้ได้ยาวนานที่สุด

นาทีนี้มันไม่ใช่เรื่องของการเงินที่สนับสนุนแล้วแต่เป็นเรื่องคุณค่าของจิตใจ พวกเราเคยทำเรื่องที่ยากแล้ว พอพูดถึงเรื่องนี้คนบางส่วนก็ไม่ได้เห็นความสำคัญ หรือแม้กระทั่งเคยถามนุ่นกับท็อปว่าทำเรื่องนี้ทำไมไม่เห็นจะได้เงินเลย ทำเพื่อสร้างภาพหรือเปล่า พูดตรงๆ ว่าเวลาเจอประโยคเหล่านี้มันรู้สึกท้อมาก พวกเราไม่ได้อยากสร้างภาพ แต่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ดีและอยากทำ แต่ในที่สุดแล้วก็ทำให้เห็นว่ามีคนที่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ที่สุดนั่นก็คือพระองค์ท่าน ในหลวงทรงพูดเรื่องโลกร้อนมานานมาก ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องป่าไม้มาตลอด ทั้งหมดคือสิ่งที่พ่อทำ นุ่นกับท็อปก็คิดว่าจะทำต่อไปตามกำลังที่เราสองคนมีจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“นุ่นกับท็อปเดินตามรอยนี้มาแล้วคงจะไม่เปลี่ยนหัวข้อในชีวิต แต่จะทำอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ จะไม่ท้อเพราะว่าเศรษฐกิจตกต่ำ จะไม่ท้อเพราะว่าคนไม่สนับสนุน และจะไม่ท้อถ้าคนจะมาบอกว่าพวกเราสร้างภาพเพราะพวกเรามีตัวอย่างที่ดีและจะทำต่อ” นุ่นกล่าว

เคยมีโอกาสได้ถวายงานหรือเข้าเฝ้าพระองค์ท่านบ้างไหม ดาราสาวกล่าวว่า “อาจจะไม่เคยมีโอกาสถวายงานโดยตรง แต่เคยมีโอกาสได้เล่นละครสารคดีเทิดพระเกียรติ หรือแม้แต่การมีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แล้วก็ไม่เคยเข้าเฝ้าพระองค์ท่านด้วย เคยแค่มีบุญครั้งเดียวในชีวิตคือตอนนั้นไปโรงพยาบาลศิริราชกับท็อปแล้วได้มีโอกาสเห็นรถพระที่นั่งวิ่งผ่านพอดี เข้าใจเลยเวลาที่คนตะโกนสุดเสียงว่า “ทรงพระเจริญ” นาทีนั้นเราสองคนก็เปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ตรงกลางถนนเลยค่ะ”

ภูมิใจแค่ไหนที่ได้เกิดในรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 นุ่นกล่าวว่า “ภูมิใจมากค่ะที่ได้เกิดในรัชกาลที่ 9 ได้เกิดมาบนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์มาก อากาศดี อาหารดี ผู้คนจิตใจดี ไม่ต้องแก่งแย่งกันขนาดนั้น อยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่มีพ่อดูแลมาตลอด ซึ่งพ่อเป็นแบบอย่างที่ดีมาก ทำให้รู้ว่าตัวเรามีหลักที่ดียังไง”