โด่ง องอาจ พร้อม บริษัท ไทย เดสติเนชั่น ยื่นฟ้อง แอน JKN หมิ่นประมาทเพื่อการโฆษณา ยันคู่กรณีให้ข้อมูลเท็จ

วันที่ 8 ก.พ.67 นางสาววไลลักษณ์ เนียนขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เดสติเนชั่น จำกัด และ โด่ง -ดร.องอาจ สิงห์ลำพอง ผู้บริหารชื่อดัง เดินทางมายื่นฟ้อง นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ หรือ แอน JKN ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ ศาลอาญา รัชดา จากกรณีที่ แอน JKN ได้ให้ข้อมูลต่อสาธารณะและสื่อมวลชนก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หลังจากที่ทางบริษัททัวร์เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรม

หลังจาก นางสาววไลลักษณ์, ดร.องอาจ พร้อมทนาย ได้ยื่นคำฟ้องและศาลประทับรับฟ้องเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่มารอทำข่าว

โดยนางสาววไลลักษณ์ ได้เผยว่า “ที่ฝนต้องมาฟ้องในวันนี้ เริ่มมาจากวันที่ได้เห็นเฟซบุ๊กที่ทางคุณแอน โพสต์หมิ่นประมาท ว่า บริษัททัวร์ปลอม บริษัทเก๊ โจรกระจอก และมาให้เวทีมิสยูนิเวิร์สตรงนี้สร้างชื่อเสียง ตั้งแต่วันนั้น เราจึงมาวันนี้เพื่อฟ้องหมิ่นประมาทเรื่องเกี่ยวกับ พรบ.คอมพิวเตอร์”

ได้อ่านที่ทางคุณแอน โพสต์ชี้แจง หรือกล่าวหาถึงบริษัท ไทย เดสติเนชั่น จำกัด อย่างไรบ้าง? นางสาววไลลักษณ์ เผยว่า “ตั้งแต่เดือนเมย. ปี 2566 ทางดร.องอาจ ได้เรียกบริษัททัวร์มาทั้งหมด 3 บริษัท ฝนก็เป็นหนึ่งในบริษัทนั้นเข้ามาประชุมกัน จนวันที่ 20 เมย.ปีที่แล้ว ทางคุณโด่ง ได้ติดต่อมา ซึ่งฝนอยู่อเมริกา คุณโด่งบอกว่าให้ประชุมผ่านทางซูม กับคุณแอน จักรพงษ์

ซึ่งคุณแอนบอกว่าถ้ากลับมา ให้เข้าไปคุยกันที่บริษัท ซึ่งก็ได้มีการเข้าไปกันที่บริษัทวันที่ 27 เมย.66 หลังจากวันนั้นเป็นการคุยกันเรียบร้อยแล้ว ว่าจะเป็นโปรแกรมทัวร์แบบไหน เป็นการตกลงกันด้วยวาจาว่าฉันใช่บริษัทคุณตั้งแต่วันนั้น”








Advertisement

ทางคุณแอน บอกว่ายังไม่มีการเซ็นสัญญาใดๆ กัน? นางสาววไลลักษณ์ ตอบว่า “เรื่องนั้นเราจะเข้าไปคุยกันในชั้นศาล ซึ่งระหว่างนั้นทางทีมกฎหมายของบริษัท เจเคเอ็น ได้มีการส่งสัญญามาให้ทางเรา อยู่ในขั้นตอนการตรวจเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นไลเซน เรื่องการทำงานของเรา เขาเช็กหมดเรียบร้อยแล้ว ทางเราได้เซ็นไปแล้วเรียบร้อย”

ในสัญญาได้ระบุไหมว่าค่าใช้จ่ายในครั้งนี้มีอะไรบ้าง? “ในสัญญาระบุไว้ว่า หลังจากหักค่าใช้จ่ายแบ่งกัน 60:40 ทางบริษัท ไทย เดสติเนชั่น จะได้ 40 เปอร์เซ็นต์ค่ะ”

ผลกระโยชน์หลังจากจบงาน ได้ตามสัญญาไหม? นางสาววไลลักษณ์กล่าวว่า “วันที่เราไปร้องกับสื่อ เราไม่เคยพูดถึงผลประโยชน์ของทัวร์เลย เราพูดถึงเรื่องที่คุณช่วยจ่ายเงินที่เราสำรองไป ตั้งแต่ค่าตั๋วนางงาม ช่วงเดือน สค. ปีที่แล้ว กลุ่มนางงาม ประเทศ อินเดีย บาเรนห์ ออสเตรเลีย ไอซ์แลนด์ อเมริกาใต้ และผู้บริหาร Miss Universe Organization

แต่พอเราเรียกถามไปว่าเมื่อไหร่จะจ่ายตั้งแต่เดือน สค. เราพยายามเรียกร้องเรื่องนี้ เขาก็บอกว่ายังไม่ได้เคลียร์เรื่องทัวร์ ส่วนเรื่องทัวร์เราได้ส่งเอกสารต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้รีบอะไรเลย ให้เรามีเวลาในการตรวจเอกสารไป เราแค่ขอเช็ค 2 ใบที่เขาออกมาให้แล้ว เรื่องมันเกิดขึ้นจากตรงนี้”

เรื่องเช็คที่เราเรียกร้องไปไม่เกี่ยวกับทัวร์ที่พาคนไปเชียร์นางงาม เป็นค่าตั๋วเครื่องบินนางงามที่บินมาโปรโมทงาน? นางสาววไลลักษณ์กล่าวว่า “ที่ไปทัวร์ลูกค้าไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ลูกค้าแฮปปี้ ทัวร์ทุกอย่างมันจบเรียบร้อยแล้วดีหมด เอกสารเราก็ส่งให้ตรวจหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่าย

หรือว่าตรงไหนที่เขาแย้งว่าไม่มีบิล เมื่อวันที่ 5 เราก็เข้าไปคุย อย่างเรื่องค่าทิปตำรวจ ทิปพนักงานยกกระเป๋า ทิปอื่นๆ ใช้วิธีไหน เพราะว่าคุณเป็นบริษัทมหาชน ต้องมีรูปแบบอย่างไร เขาให้ทำเป็นเมมโม แล้วก็แนบภาพมาด้วยว่าคุณจ่ายให้ใครแบบไหน ซึ่งเราทำให้ตรวจทั้งหมดค่ะ

คือมันไม่เกี่ยวกับเรื่องทัวร์ แต่สิ่งที่เราเรียกร้องไปมันคือค่าที่เราสำรองจ่ายค่าตั๋วนางงามที่บินมาโปรโมทงานก่อนหน้านี้ เรายังบอกว่าเข้าใจว่ามันมีเรื่องของขั้นตอน นั้นยังไม่รีบเรื่องทัวร์ แค่ขอ 2 บิลที่เราสำรองไปเป็นยอด 784,000 บาท เราขอแค่ 2 บิลนี้ เพราะมัน 7-8 เดือนแล้ว ทางนั้นก็ไม่มีการตอบกลับมาว่าจะจ่ายหรือไม่จ่าย มีแค่ส่งรูปเช็คมา เป็นรูปเช็คที่มีการเซ็นแล้ว”

ถามต่อที่ทางคุณแอน โพสต์เหมือนกล่าวหาว่าบริษัทเราไม่มีใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจทัวร์? “บริษัท ไทย เดสติเนชั่น เปิดมา 14 ปี(โชว์ในอนุญาต) ถ้าเราเป็นบริษัทที่ไม่มีใบอนุญาต เราจะไปรับงานของ เจเคเอ็น ได้ยังไง”

ทางด้าน ดร.องอาจ ถูกพาดพิงเรื่องใดบ้าง? โด่ง องอาจ กล่าวว่า “ผมทำงานในอุตสาหกรรมสื่อไม่ต่ำกว่า 30 ปี ผมไม่เคยมีปัญหากับใคร อันนี้เป็นการขึ้นศาลของตัวเองครั้งแรก ที่มาครั้งนี้เพื่อรักษาสิทธิ์ของตัวเอง และรักษาสิทธิ์ที่เสียไป ที่เกิดขึ้นจากการที่ นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ เป็นผู้พาดพิงทั้งหมด เพื่อรักษาชื่อเสียงของเรา ประเด็นที่ว่าวันนี้เพื่อยื่นฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อการโฆษณา และเพื่อรักษาชื่อเสียงของตัวเอง ที่มาวันนี้มี 3 ประเด็นด้วยกัน

ประเด็นที่ 1 เพื่อรักษาชื่อเสียง และนามสกุลตัวเอง ที่ถูกพาดพิง ประเด็นที่ 2 ผมมาเพื่อทุกคนในวิชาชีพสื่อ เราเชื่อว่าเรามีความเป็นมืออาชีพในการทำงาน ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจไหนก็แล้วแต่ เรื่องการได้มา หรือการเสียผลประโยชน์เป็นเรื่องของสถานการณ์และสภาพแวดล้อม และบริบทต่างๆ อีกประเด็นคือทุกคนทราบว่าผมเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ที่ผมออกมาเพื่อให้คนที่เขาเป็นลูกศิษย์ และคนที่นับถือเชื่อฟังในคำสอนเรา ให้เขาเข้าใจ และเขากล้าออกมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง

ผมมองอย่างนี้คำหมิ่นประมาททั้งหมด มันเหมือนกับการฉีกกระดาษทีละชิ้น คุณพูดหนึ่งคำคุณฉีกหนึ่งชิ้น คุณพูด2 คำ คุณฉีก 2 ชิ้น มาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณพูดจบ คุณก็โปรยมันในอากาศ สุดท้ายมันก็กระจายไปทั่วเมือง ผมในฐานะคนที่ถูกกล่าวถึงซึ่งเป็นข้อมูลไม่ถูกต้อง ผมไล่เก็บไม่หมด แล้วถ้าวันหนึ่งเศษกระดาษพวกนี้ย้อนกลับไปที่เขา ผมเชื่อว่าเขาก็เก็บไม่หมดเหมือนกัน การที่เรามาวันนี้เพื่อยื่นฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อการโฆษณา ชี้แจงข้อเกิดขึ้นทั้งหมด และรักษาสิทธิ์ของตัวเองให้ได้มากที่สุด”

ได้เห็นที่เขาออกมาไลฟ์แล้ว เรามีอะไรอยากชี้แจงบ้าง? “ที่กล่าวพาดพิง ว่าเราไม่รับผิดชอบ ตอนที่เราเข้ามาทำงานโปรเจ็กต์ ฮัลโหล Universe Tour เราได้รับคำสั่งมาว่าให้เลือกบริษัทมา 3 บริษัท แต่ถามว่าการว่าจ้างของเราจริงๆ มันไม่ใช่หน้าที่นี้ เรามีหน้าที่บริหารช่อง JKN18 และดูแลผลิตภัณฑ์ในเครือทั้งหมด

อันนี้มันเป็นเหมือนงานที่ให้ความช่วยเหลือ กับธุรกิจใหม่ที่มันเกิดขึ้น แล้วก็ยังไม่มีใครช่วยหลัก ทีนี้หลังจากเราได้ตัวของบริษัททัวร์เข้ามาบริหารงานใน ฮัลโหล Universe Tour แล้ว มันก็จะมีเจ้าภาพที่ชัดเจน หลังจากนั้นก็จะมีเจ้าภาพที่เป็นผู้บริหารทัวร์ ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งเรื่อยๆ

แต่โชคไม่ดีของโปรเจ็กต์นี้ ใช้เวลาค่อนข้างนาน และใช้ผู้บริหารทั้งหมด 5 ท่าน เข้า-ออกๆ กระทั่งท่านสุดท้าย จนถึงวันที่พาลูกทัวร์ทั้งหมดไปที่เอลซัลวาดอร์ครับ แต่ระหว่างทางทั้งหมด ผมไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับโปรเจ็กต์นี้ นอกจากได้รับฟัง ได้ยินผ่านหูบ้าง เพราะมันไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของเรา ซึ่งหลักฐานทั้งหมดที่เกิดขึ้น เราสามารถเอามาชี้แจงในศาลได้ครับ”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าก่อนหน้าที่ทาง แอน จักรพงษ์ บอกว่าจะฟ้องกลับ 10 ล้าน มีการคุยอะไรไหม? นางสาววไลลักษณ์กล่าวว่า “ไม่มีใครมาคุยอะไรนะคะ เขาบอกว่าจะฟ้อง แต่ก็จะฟ้องอะไรคะ เพราะว่าข้อที่หนึ่ง คือในเรื่องของเช็ค เราก็มีเช็คจริงๆ ว่าคุณไม่จ่าย มีบิลอินวอยจริงๆ ที่ไม่จ่าย อย่างที่สองคือเราไปทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง คือการที่เราไปเรียกร้องความถูกต้อง ว่าเราทำงานไป เราก็ไม่ได้รับเงิน ไม่ได้รับอะไรเลยตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 จนกระทั่งเดือนธันวาคม 2566 เราก็ไม่ใช่แค่คนเดียว พนักงานในบริษัทอีกตั้ง 3 คนที่มาดูแลโปรเจ็กต์นี้ เท่ากับว่าเราเสียเงินกับโปรเจ็กต์นี้เยอะเหมือนกัน”

ฟ้องเรียกค่าเสียหายไปเท่าไหร่? โด่ง องอาจ เผยว่า “จริงๆ ก็มีการคุยกันอยู่แล้ว ก็ค่อนข้างหลายล้านอยู่ ขอไปจบกันที่ชั้นศาล ซึ่งเราแยกกันฟ้องครับ แต่เป็นการฟ้องหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาเหมือนกัน”

ฟ้องเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่? นางสาววไลลักษณ์ “หลายล้านบาท เพราะว่าอย่างน้อยถ้าเกิดมีการสู้คดีก็เป็นปี กว่าเราจะพิสูจน์ตัวเองได้ ว่าเราไม่ได้ผิดกับเรื่องนี้ มันก็ต้องใช้เวลา วันนี้ก็เลยฟ้องอาญาค่ะ”

โด่ง องอาจ “ของผมเท่าไหร่ไม่รู้ ต้องลองคำนวณว่าถ้าเราทำงาน 10 ปีข้างหน้า ทั้งหมดบวกลบคูณหาร มูลค่ามันจะประมาณเท่าไหร่ (ของเราที่ฟ้อง เกี่ยวกับประเด็นที่ออกจาก JKN ด้วยไหม?) ไม่เกี่ยว เกี่ยวแค่ว่าในมุมของเขา ที่กล่าวให้ร้ายให้โทษเราต่อบุคคลที่สามคือสาธารณะ อันที่หนึ่งคือเรื่องของอาชีพ เป็นผู้บริหารที่ไม่มีความรับผิดชอบ อย่างที่บอกเราทำงานกับบริษัทแรก ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว

เราทำที่นั่นมา 30 ปี ผมเชื่อว่าผู้บริหารระดับสูงที่นั่น ก็คงมองเห็นศักยภาพในการทำงานของเรา การที่อยู่มาได้ขนาดนั้น ผมว่ามันก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง นั้นคือส่วนหน้าที่การงาน ส่วนของวงการวิชาการ ก็ได้เอ่ยถึงการเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ที่ค่อนข้างพาดพิงอย่างรุนแรง จริงๆ ซีเรียสที่สุดก็คือเรื่องนั้น เรามีหลักฐานพิสูจน์อยู่แล้วว่าเราทำอะไรมาบ้าง”

ก่อนมาฟ้องวันนี้ ได้มีการคุยกับฝั่งคู่กรณีไหม โด่ง องอาจ “ไม่มีการพูดคุย ผมได้อ่านข้อพาดพิงที่บอกว่าพยายามติดต่อผม แต่ผมก็มีหลักฐานว่าเราไม่เคยติดต่อกัน ตั้งแต่ผมลาออกเมื่อ 31 ธันวาคม 2566 พ้นสภาพพนักงาน 1 มกราคม 2567 ก็ไม่ได้มีการติดต่อใดๆ มาถึง คือเบอร์โทรศัพท์มีอยู่แล้วครับ แต่ไม่ได้มีการติดต่อมา ผมก็มีหลักฐานที่จะให้ดูอยู่แล้ว”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน