ผกก.รุ่นเก๋า ทรนง ศรีเชื้อ พร้อมทีมนักแสดง เข้าร้องทุกข์ทนายเดชา ถูกนายทุนหลอกสร้างหนังทุน 300 ล้าน เบี้ยวไม่จ่ายเงินตามสัญญา
วันที่ 7 เม.ย. 67 ผู้กำกับภาพยนตร์รุ่นใหญ่ชื่อดัง ‘ทรนง ศรีเชื้อ’ พร้อมด้วยนักแสดง อูม วิยะดา อุมารินทร์, อุ๊บ วิริยะ, วิเวียน ระวี, ชาไทย นภนต์ และทีมนักแสดงกว่า 100 คน จากภาพยนตร์ เรื่อง “2122 กูนี่แหละอัจฉริยะ” เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ที่สำนักกฎหมายทนายคลายทุกข์ซอยรามอินทรา 52/1 ถ.รามอินทรา กรุงเทพฯ
กรณีถูกนายทุนเบี้ยว ไม่จ่ายค่าดำเนินการสร้างหนังตามที่ตกลงทำสัญญากิจการร่วมค้า ทุนสร้าง 300 ล้านบาท ซึ่งทางด้านผู้กำกับฯ รุ่นเก๋า ได้ดำเนินการเตรียมงานไปแล้วก่อนเริ่มเปิดกล้องถ่ายทำ ทั้งคัดนักแสดงกว่า 1500 คน ออกแบบฉาก เสื้อผ้า อุปกรณ์ต่างๆ มูลค่าเสียหายร่วม 1 ล้านบาท พร้อมยื่นคำขาดให้เวลา 7 วันหลังจากนี้ ถ้านายทุนไม่มาเจรจาจะดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมร้องหน่วยงานรัฐตรวจสอบเส้นทางการเงิน
โดย ทรนง ศรีเชื้อ เผยว่า “ผมห่างหายจากวงการภาพยนตร์ไป 13 ปี ในระหว่างนั้นผมหาทุนที่จะสร้างโรงถ่ายภาพยนตร์ ย้ายจากแก่งกระจานไปที่ปากช่อง ต้องใช้เงินประมาณ 3.5 หมื่นล้าน มีแหล่งทุนจากต่างประเทศรับปากพร้อมจะลงทุน แต่มีอยู่แหล่งทุนหนึ่งในประเทศไทย ได้รับการชักนำจากเพื่อนนายทหารชั้นสัญญาบัตร เราก็ไว้ใจ ให้ไปรู้จักกับเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาที่ จ.นครราชสีมา ผู้หญิงคนนี้บอกว่ามีเงินหลายหมื่นล้าน โดยสามีของเธอเป็นถึงระดับเสนาธิการของโรงเรียนนายร้อยจปร. ผมได้ติดต่อกับผู้หญิงที่เป็นแหล่งทุนคนนี้ เธอบอกจะสร้างโรงถ่ายประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาทเมื่อ 10 เดือนที่แล้ว คุยกันเรียบร้อยว่าจะสร้างโรงถ่ายที่ปากช่อง แต่ก็ยังไม่ได้สร้าง
ต่อมาเขาบอกว่า ให้ทำหนังก่อนระหว่างรอเวลาที่จะสร้างโรงถ่าย ผมบอกทำได้มีงานเล็กๆ แก้ขัด 50 ล้าน เธอพูดสวนมาว่าอย่าทำเลยหนังเล็กๆ 50 ล้าน ทำหนัง 100 ล้าน ผมก็บอกจะทำเรื่อง 2122 กูนี่แหละอัจฉริยะ ให้ผมทำสัญญา 100 ล้าน แต่พอไปถึงเธอบอกขอเปลี่ยนสัญญา จะทำ 300 ล้าน ใช้บริษัทแหล่งทุนทั้งหมด 3 บริษัทเข้ามารองรับ ซึ่งผมดูแล้วมันน่าเชื่อถือ เขาโชว์ว่ามีเงินเป็นพันล้านหมื่นล้าน มีเงินจากดูไบเข้ามา
เมื่อมีการเซ็นสัญญา ผมเองก็แปลกใจ ปกติผมไปยืมคน 1 ล้าน ผมจะได้มา 5 หมื่นหรือแสนหนึ่ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมบอก 50 แล้วเธอจะให้ 100 พอผมบอก 100 เธอจะให้ 300 แล้วมีการเซ็นสัญญาภายใน 1 ปี ทุกอย่างต้องสร้างหนังให้เสร็จเรียบร้อย เขาบอกว่าคุณกลับไปไม่เกิน 7 วัน ฉันจะไปหล่อทองคำแล้วจะนัดเจออีก จะให้ลูกสาวมาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับฯ ผมเชื่อทุกอย่าง พอกลับมาก็เริ่มเตรียมงาน ผมเปิดห้องโซเชียล มีนักแสดงเข้ามาสมัครหลายพันคน
Advertisement
เมื่อ 8-9 เดือนที่แล้ว ผมมีความคิดจะปลุกวงการภาพยนตร์ไทยให้ได้ วิธีปฏิวัติวงการภาพยนตร์ของผม คือสร้างหนังเรื่องที่ใหญ่ที่สุด ราคา 100-300 ล้าน ต้องใช้นักแสดงที่ตกงานมีเป็นพันคน เอามาเล่นหนังเรื่องนี้ให้หมด
ถึงตอนนี้ผมยังไม่เปิดเผยชื่อนายทุนคนนี้ เพราะผมจะให้โอกาสเขา 7 วัน บริษัทนี้ที่อ้างว่าไปดูไบ แล้วตอนนี้อยู่ที่ญี่ปุ่น บอกว่าตัวเองรวยมั่งคั่งมาก แต่ไม่ยอมจ่ายเงินเพราะอะไร แต่ในขณะเดียวกันเอาเงิน 30 ล้านไปให้ลูกสาวสร้างหนังมีการแถลงข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งผมก็งง แล้วไม่จ่ายผมแม้แต่บาทเดียว ตัวผมเองตอนนี้ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีรถยนต์ จากการที่ผมขาดทุนเรื่องสึนามิ เมื่อ 14 ปีที่แล้ว แล้วต้องเข้าโรงพยาบาลบ้า รักษาตัวอยู่พักนึง พอออกมาผมทำทุกอย่างเพื่อใช้หนี้สิน ทุกวันนี้เหลืออยู่ประมาณ 30-40 ล้านถึงจะใช้หมด
มันก็มีแหล่งทุนจากต่างประเทศพร้อมที่จะมาสร้างโรงถ่ายในประเทศไทย ผมอยากสร้างโรงถ่ายที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ผมต้องเสียโอกาส เสียเวลา หนังเรื่อง 2122 กูนี่แหละอัจฉริยะ ผมต้องการสร้างเพื่อปลุกวงการภาพยนต์ไทยให้มันตื่น ผมก็เชิญคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ คุณเล็ก ไอศูรย์ หม่อมอูม วิยะดา อุมารินทร์ ผมเชิญดารารุ่นเก่า 60 กว่าคนมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ และดารารุ่นใหม่ 1500 คน ผมต้องการให้วงการนี้มันอยู่ได้ แต่แล้วมาถึงวันนี้ผมก็ต้องพัง แต่ผมไม่ฆ่าตัวตายเหมือนกับ 3 ครั้งที่ผ่านมา
ผมถึงร้องขอความช่วยเหลือจากทนายเดชา ให้เวลานายทุนคนนั้น 7 วันให้มาเคลียร์เจรจากัน ถ้าพ้น 7 วันผมจะเข้าแจ้งความดำเนินคดี ผมจะเปิดเผยสัญญาทั้งหมดเมื่อเข้าแจ้งความ ที่ผมยังประนีประนอม เพราะไม่ใช่เคสแรกที่ผมโดนลวง เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้วผมโดนนายทุนแหล่งหนึ่งบอกว่าจะจ่ายเงิน 300 ล้าน ให้ไปรอที่โรงแรมแถว ถ.รัชดาฯ แต่เขาไม่มา แล้วผมเจอเรื่องแบบนี้มาทั้งชีวิต เหนื่อยครับ
ทนายเคยถามผมว่า แล้วไปเซ็นสัญญากับเขาได้ยังไง ไม่เซ็นยังไง ในเมื่อผมต้องการสร้างหนัง คุณต้องไปถามเขา ทำไมเอาเงินไปให้ทรนง 3 ล้าน เขาอยากได้ 50 คุณให้เขา 100 พอเขาจะทำสัญญา 100 คุณก็ให้เขา 300 แล้วคุณก็ไม่ให้เขาเลย แต่คุณถ่ายรูปลงโซเชียลอยู่ดูไบพักโรงแรมหรู ทุกอย่างมันดูดีไปหมด แต่ผมเหมือนไอ้บ้า มาอยู่ที่หน้าสำนักงานทนายความกับทีมงานนักแสดงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย วันนี้ผมต้องมาร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม
คือเรื่องเกิดเมื่อ 11 ก.ค. 66 มีหลักฐานสัญญากิจการร่วมค้า ผมเป็นฝ่ายผลิต แล้วเขาเป็นผู้ลงทุน เมื่อเซ็นเสร็จเรียบร้อย ผมต้องเตรียมงาน ประวัติผมไม่เคยทำหนังเล็ก จะสร้างโปรเจ็กต์นี้ 100 ล้าน ซึ่งนายทุนเป็นคนเสนอ 300 ล้านเอง นั่นเป็นที่มานักแสดง 1500 คน คุณเป็นคนบอกผมว่ามีเงิน 4 หมื่นล้าน มีทองคำกำลังจะไปหล่อ กำลังจะบินไปดูไบ กลับมาได้เงินแน่นอน แต่เขาขาดการติดต่อกับผมเมื่อ 28 ธ.ค.66
ตอนนี้ผมลงทุนเตรียมงานไปแล้ว จ่ายสด 1 ล้านบาท ความเสียหายจริงๆ มันมีการออกแบบเสื้อผ้า ออกแบบฉาก ทีมงานออกแบบรถเตรียมโมเดลเรียบร้อย แต่ผมไม่สามารถจ่ายเขาได้ เขาก็เสียหาย แผนกเสื้อผ้าออกแบบหน้ากากเป็นพันๆ ชุด ผมไม่ให้เขาผลิต เขาก็ว่าผมเบี้ยวเหรอ ไม่สร้างอะไรสักที
เราอยู่ในการขั้นเตรียมงาน ยังไม่ได้เริ่มถ่ายทำ แต่เราไม่เคยได้รับเงินจากเขาเลยแม้แต่บาทเดียว ผมเคยเจอนายทุนคนนี้ 2 ครั้ง เจอครั้งแรกที่บริษัทบ้านเขาที่โคราชวันเซ็นสัญญา เจอครั้งสุดท้ายที่โรงแรมมารวย ที่คุยกันครั้งสุดท้าย 28 ธ.ค. 66 เขาบอกจะโอนก้อนแรกให้ เดือน ก.พ. 50 ล้านแล้วหายไปเลย แต่ถ้าเขาแข็งมา ผมจะไปร้องเรียนหน่วยงานรัฐให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน คุณเอาทองมาโชว์ได้ไง เอาเงินเต็มตู้เซฟมาโชว์ โชว์เช็ค 600 ล้านต่อหน้า ผมมีเอกสารหมด”
ทนายเดชา : “ถ้าฟังจากพี่ทรนง สมมติว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามนี้ ถ้าเกิดว่ามีการหลอกให้ทำสัญญาเอกสารสิทธิ์ แล้วทำให้เขาได้รับความเสียหาย เป็นฉ้อโกงได้ สามารถแจ้งความได้ เขาเรียกว่า ฉ้อโกงโดยหลอกให้ทำเอกสารสิทธิ์ ถ้าข้อเท็จจริงเป็นไปอย่างที่พี่เขาว่า ก็สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้”
ด้าน อุ๊บ วิริยะ หนึ่งในนักแสดง เผยว่า “นักแสดงแต่ละคนเตรียมงานกันมาเป็นปี คือเราเป็นแฟนคลับอาทรนงมาตั้งแต่เด็ก เรื่องค่าตัวจริงๆ ส่วนมากรุ่นใหญ่เวลาทำงานกันกับคนที่เรารักเราสนิท มาด้วยใจก่อน ผู้กำกับฯ คนนี้มีบุญคุณกับเรา มีความคุ้นเคยกัน บางทีไม่คุยเรื่องค่าตัว มีดารุ่นใหญ่ระดับตัวพ่อตัวแม่เกือบร้อยคนที่มาร่วมเล่นเรื่องนี้ ทุกคนก็มีการอะลุ่มอล่วยเรื่องคิวกัน ก็เสียหายกัน นักแสดงทุกคนอยากจะทำงานเรื่องนี้เพื่อคุณอาทรนง เราลงทุนในตัวเองค่อนข้างเยอะ”
นักแสดงรุ่นใหญ่ อูม วิยะดา เผยว่า “มันเสียตรงที่เราล็อกคิวเอาไว้ทำให้รับที่อื่นไม่ได้ ปฏิเสธหนังเรื่องอื่นไปหลายเรื่องเหมือนกัน อ.ทรนงบอกว่าจะเปิดกล้องเดือน ม.ค. พอมีหนังอื่นมาติดต่อ เราก็อยากจะทุ่มให้กับตรงนี้ อยากเข้ามาเรียนเทคนิคสมัยใหม่ที่จะก้าวไปสู่ภาพยนตร์ต่างประเทศได้ มีความสนใจว่าจะได้ไปโกอินเตอร์ ไปฮอลลีวู้ด เรามีความหวัง ก็เลือกทางนี้ไว้ก่อน สลัดคิวอื่นไป
แต่ความเสียหายคือหนังเลื่อนเปิดกล้องอีกแล้ว นักแสดงทุกคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งอาจารย์ทรนงเพิ่งจะมาบอกว่า คนที่ลงทุนเขาหายเงียบไป ไม่ยอมติดต่อ ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ซึ่งอาจารย์ทรนงก็มอบหมายให้พี่อูมเป็นคนดูแลนักแสดง สอนการแสดง 8 เดือนติวเข้ม นักเรียนพันกว่าคน แล้วอยู่ๆ มาบอกว่านายทุนหาย ก็เลยต้องมาขอให้ทนายเดชาช่วยว่าเราจะทำยังไงกันดี ทุกแผนกในกองถ่ายภาพยนตร์ ทุกคนพร้อมจะมาร่วมทำงานกับอ.ทรนง อยู่ดีๆ นายทุนเบี้ยว”
ทนายเดชา : “สรุปคือพี่ทรนงเขาพากลุ่มนักแสดงมา มาร้องขอความเป็นธรรม กรณีที่เขาไปขอแหล่งทุน แล้วมีการทำสัญญาร่วมลงทุนรับปากว่าจะหาทุนมาให้ เขาก็หลงเชื่อ แล้วไปเตรียมการ ฝึกนักแสดง เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเขา ต่อชื่อเสียง ต่อโอกาสนักแสดงรุ่นใหญ่และนักแสดงรุ่นใหม่ก็ต้องมาเสียเวลา แทนที่จะเอาเวลาไปรับงานอื่น มันก็เกิดความเสียหายจำนวนมาก
ถ้าดูจากพยานหลักฐานต่างๆ ถ้ามันเพียงพอ เราก็ไปแจ้งความฉ้อโกงได้เลย ไม่จำเป็นต้องเสียเงิน แค่หลอกให้ทำเอกสารสิทธิ์ก็ถือว่าเป็นฉ้อโกงแล้ว ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป อยากฝากถึงนักแสดง ผู้กำกับฯ อะไรที่เป็นเงินเยอะๆ หมื่นล้านแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความจริง จะเอาเงินที่ไหนตั้งหลายหมื่นล้าน ก็ต้องระมัดระวังอย่าไปหลงเชื่อง่าย”
ในระหว่างการแถลงข่าว ทรนง ศรีเชื้อ ผู้กำกับภาพยนตร์ พยายามโทรศัพท์ต่อสายไปที่นายทุน แต่ไม่สามารถติดต่อได้ พร้อมบอกว่า อีกฝ่ายลบไลน์ที่เคยติดต่อกับตนไปแล้ว และเลขาก็ไม่รับสายด้วย ซึ่งตนยืนยันว่าบริษัทที่ไปทำสัญญามีจริง โรงเรียนที่นายทุนคนดังกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของที่โคราชมีอยู่จริง สามีเป็นเสนาธิการจปร.จริง ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ซึ่งตนแคปหลักฐานการพูดคุยไว้หมด และพร้อมดำเนินคดีหากอีกฝ่ายไม่มาเจรจาภายใน 7 วันหลังจากนี้
