ใบเตย อาร์สยาม กลับไปซบอกเฮียฮ้อ ไม่เคยคิดจะไปอยู่ไหน เฮียเป็นคนที่ทำให้เรามีพลัง พร้อมเปิดใจสภาพจิตใจหลังออกมา ออกมาแรกๆ มีอาการซึมเศร้า แต่ลูกคือกำลังใจให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
หลังผ่านมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิต “ใบเตย อาร์สยาม” ได้เปิดใจผ่านรายการ คุยแซ่บShow ทางช่องวัน31 หลังจากศาลได้อนุมัติประกันตัวชั่วคราว พร้อมกับการหวนคืนบ้านเก่าอย่างอาร์เอส รวมไปถึงอาการโรคซึมเศร้า ที่มาพร้อมกับการแพนิค จนทำให้ไม่กล้าสบตาใคร ซึ่งในวันนี้เจ้าตัวได้เล่าผ่านสีหน้าที่สดใส รวมไปถึงเรื่องราวที่ทำให้ก้าวข้ามในวันที่แย่ๆ จนมาถึงวันนี้
ล่าสุดกลับไปเจอกับเฮีย? “เอาจริงๆ ไม่เคยเปลี่ยนนามสกุล ต่อให้ชีวิตนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม เราก็ยังใช้ชื่อนี้ตลอด ไม่เคยเปลี่ยน และไม่คิดจะเปลี่ยน ในมุมของใบเตย อย่าเรียกว่าอิสระ แต่ที่ผ่านมาเราก็ทำงานกับเฮียมาโดยตลอด สำหรับใบเตยเราก็อยู่ที่นั้นมาเกือบครึ่งชีวิต ซึ่งเราก็มองตัวเองว่า เราก็ไม่สามารถไปอยู่ที่ไหนได้อีกแล้ว ยังคงดีใจ อยู่กับเฮียมากกว่าอยู่กับครอบครัวของตัวเอง เซ็นสัญญาตั้งแต่อายุ 13 ปัจจุบัน 36 แล้ว”
พอเราไม่ต่อสัญญาชีวิตเราเป็นยังไง? “สำหรับใบเตยก็ปกติทุกอย่างนะ ตอนอยู่กับเฮีย ใบเตยก็ทำทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่ได้แตกต่างอะไรเลย และดวงของเราน่าจะถูกโฉลกกับการมีค่าย เป็นนักร้องจริงๆ ในธุรกิจเพลง ใบเตยไม่ได้เป็นคนแต่งเพลงเป็น ไม่สามารถทำเพลงให้ตัวเองได้ ไม่สามารถคิดท่าเต้นได้ ไม่มีในตัวใบเตยเลย มีหน้าที่ร้องอย่างเดียว”
ในดีลนี้ใครติดต่อใคร? “มองว่าใจยังอยู่ทั้งสองฝั่ง ด้วยความใบเตยเหมือนลูก เราคือศิษย์ก้นหม้อ โตมากับเฮีย เชื่อว่าทีมงานเขาก็รักเราเหมือนลูกสาว สิ่งนึงที่เราตัดสินใจกลับไปเซ็นสัญญาอีกครั้ง เฮียพูดมาประโยคนึงว่าเรายังมีศักยภาพ ชีวิตต้องเดินหน้าเท่านั้น ก่อนหน้านี้เราก็คุยกับเฮีย ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องราวในชีวิต เราไม่เชื่อในศักยภาพของตัวเอง เราไม่อยากจะกลับมามีชื่อเสียง แต่เฮียเป็นคนที่กลับมาทำให้เรามีพลัง เริ่มตั้งแต่งานสงกรานต์ และต้องบอกก่อน วันที่หมดสัญญาคือวันที่โดนแจ้งข้อกล่าวหาเลย”
ประโยคแรกที่คุยกับเฮีย? “ตามในคลิปที่เห็นคือเฮียคุยกับลูกสาวคนนี้เยอะมาก ก่อนจะเจอเฮีย เรายังคิดว่าเราร้องไห้แน่ๆ แต่กลายเป็นเข้มแข็ง ไม่อยากเศร้า อยากให้ทุกคนมีความสุขไปกับเรา แต่เฮียกลับน้ำตาซึม กอดเรา เท่าที่จำได้ เฮียบอก กลับมาอยู่บ้านเรานะ แต่ใบเตยก็บอกกับเฮียว่าตอนที่เกิดปัญหา มันทำให้หนูรู้สึกหมดค่าความเป็นมนุษย์มากๆ ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง แทบไม่คิดว่าเราจะกลับมาทำได้ไหม เพราะเฮียทำให้เรากลับมามีความมั่นใจมากๆ และเฮียบอกให้มองหน้าลูกไว้ นั่นคือพลัง”
สิ่งที่เจอหนักแค่ไหน? “หนักที่สุดในชีวิต เรารู้สึกว่าเราเป็นคนขยันมาตลอด ชีวิตนักร้องลูกทุ่งสุจริตที่สุด รายได้ทั้งหมดผ่านบริษัท ไม่มีไปทางอื่นแน่นอน แต่พอมาเจอเรื่องนี้ นี่เหรอผลของการที่เรากตัญญูและขยัน เราทำงานตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ทุกบาททุกสตางค์มาจากการเป็นนักร้อง สุดท้ายไม่ได้โทษใคร เพราะมันถูกกำหนดมาแล้ว ไม่มีทางหลีกเลี่ยง เอาจริงๆ สิ่งที่ทำให้เราได้รู้คือเรื่องกฎหมาย ที่มีขั้นมีตอน ที่คนส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้”
อยู่ข้างในนั้น 5 เดือน? “เออ…พูดไม่ได้เลย แต่ได้รับการดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี อยู่เพื่อรักษาชีวิต เพื่อออกมาเจอลูก ส่วนในเรื่องของน้ำตามันเยอะมากๆ จนรู้สึกว่าไม่รู้จะพูดคำไหน ร้องไห้อย่างเดียว เอาจริงๆ ธรรมะช่วยทุกอย่าง สวดมนต์ 4 เวลา จำได้ทุกบท”
เครียดสุดๆ นึกถึงอะไร? “หน้าลูกค่ะ นั่งสมาธิขอให้เห็นหน้าลูกในนิมิตทุกวัน”
เคยคิดว่าไม่อยากอยู่แล้ว? “วันแรกๆ เลย มันเป็นธรรมดาที่เจอเรื่องหนักที่สุด ส่งไปถึงอารมณ์ และการเปลี่ยนแปลง ครอบครัวเราไม่เคยเจอการสูญเสีย การพลัดพราก อันนี้เป็นครั้งแรก และการไปอยู่ในนั้น คนส่วนใหญ่จะเป็นอารมณ์คล้ายๆ ที่ใบเตยเจอ วูบแรกมันก็ไม่ไหว มันไม่ได้ติดกันแบบธรรมดา แฟนของลุค กับพี่แมนคือเกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน เราทั้งสองพี่น้องเริ่มมีแฟนพร้อมๆ กัน แต่มันคืออารมณ์นึงเท่านั้น สุดท้ายเราคือผู้ป่วยจิตเวช ซึมเศร้า ในนั้นมีคุณหมอดูแล”
อะไรที่ดึงตัวเองกลับมาว่า ฉันไม่คิดเรื่องนี้แล้ว? “เอาจริงๆ ที่ผ่านมาไม่เคยคิดเลย สำหรับเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะเจอดราม่าอะไร แต่ด้วยความเป็นซึมเศร้าขึ้นมา มันวูบขึ้นมา มันออกมาจากตัวเรา เราก็ต้องสู้ด้วยตัวเรา อย่างแรกบอกตัวเอง ให้นึกถึงหน้าลูกเท่านั้น”
วันที่ศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว? “เป็นฝันที่ไม่กล้าฝัน เราไม่รู้ว่าการขึ้นศาลวันนั้น เราจะไปทิศทางไหน ลุ้นมาก เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง ใบเตยไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะมีความโชคดีอีก เราไม่คาดหวังอะไรกับชีวิต พอท่านพิพากษาบอกอนุญาต เราทรุดเลย ร้องไห้ ยกมือไหว้ ตาชั่งแห่งความยุติธรรม”
ลูกเราเขาถามถึงคุณพ่อไหม? “ก่อนหน้านี้มีถาม และเพิ่งมารู้ว่าเขารักป๊ะป๋ามาก เขาจำได้ตลอด แต่พอตอนนี้ระยะเวลาห่าง มันค่อนข้างนาน อาจจะมีน้อยลง แต่ถ้าเขาเปิดไอแพดเขาจะถาม เมื่อไรจะกลับมา เราก็บอกว่าทำงานอยู่ต่างประเทศ มันค่อนข้างลำบากใจ”
สามีเป็นยังไงเวลาไปเยี่ยม? “เราเข้าไปให้กำลังใจ กำลังใจสำคัญมากๆ คนข้างนอกมีความสุข มันก็ส่งผลให้คนข้างในมีความสุขด้วย ซึ่งเอาจริงๆ ที่ผ่านมา เจอที่ศาลพี่แมนเขารู้ว่าเราสตรองแค่ไหน แกขอบคุณหนูตลอด แกดีใจมากๆ ที่หนูออกมาอยู่กับลูก นั่นคือสิ่งที่แกมีความสุขแล้ว ด้วยความเชื่อมั่นของกันและกัน เราจะผ่านตรงนี้ไปได้”
พอออกมาแล้วแพนิคสายตาจากสังคม? “มันเป็นเรื่องปกติ ตอนเราเข้าไปอยู่ในนั้นก็ต้องปรับตัว พอออกมาก็ต้องปรับตัว เหมือนเรามีโลกสองใบ ข้างนอกกับข้างใน ออกมาแรกๆ ก็มีอาการซึมเศร้า ร้องไห้ 3 เดือนแรก ยังงงกับชีวิต จากคนที่มีทุกอย่างครบ ในวันที่ออกมาต้องรับทุกอย่างคนเดียว ความจริงออกมาจะไปอยู่วัด แต่พอออกมามีงานจ้าง ยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เอาจริงๆ เรื่องสายตาคนก็ส่วนนึง แต่เรายังงงๆ เพราะเราไม่ได้ซ้อมอะไร เราเจอสิ่งที่กระทบจิตใจ มันทำให้ความจำบางส่วนเลอะเลือน ยังไม่กล้ารับอะไรสักอย่าง เดือนนึงเราอยู่แต่ในบ้าน ไม่เจอใครเลย และการกลับมาร้องเพลง มันคือการระบายความเครียดออกไป แต่สิ่งที่ปรับคือสายตา อยู่ในนั้นเราร้องไห้ตลอดเวลา ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ”
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
คลิปสัมภาษณ์