วันที่ 4 เม.ย. ที่ โรงแรม Solitaire Hotel สุขุมวิท11 มีการจัดงานแถลงข่าวงานประกาศรางวัล “The Best MAN Awards of Asia in Bangkok 2018” โดยมี “ต้อม รัชนีกร” อดีตนางเอกฝีมือดี มาร่วมงานพร้อมให้สัมภาษณ์หลังโพสต์ภาพกรวดน้ำ พร้อมข้อความ “เจอเด็กรุ่นลูกไม่มีมารยาท ไม่ให้เกียรติทีมงานและนักแสดง จนหลายๆ คนโยงว่าเป็น “น้ำตาล-ชลิตา” นักแสดงรุ่นน้อง เพราะลงโพสต์เวลาใกล้เคียงกัน
โดย ต้อม เผยว่า “ถามว่าเป็นนักแสดงที่เล่นละครด้วยกันมั้ย ก็ต้องเป็นละครที่เคยเล่นด้วยกันมานี่แหละ ส่วนจะเป็นละครปัจจุบันนี้หรือเปล่า ขอไม่พูดอะไรเยอะไปกว่านี้ดีกว่า เดี๋ยวมันจะเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก เอาเป็นว่าที่เราโพสต์ออกไป บางทีมันก็มีบ้างที่เราอัดอั้นตันใจ เราอยู่วงการมาก็นานแล้ว จากที่อยู่กันมา เราจะรู้จักคำว่ารุ่นพี่ รุ่นน้อง สัมมาคารวะ เวลา การให้ความเกรงใจในกันและกัน เลยมีความรู้สึกว่าช่วงหลังๆ เรื่องพวกนี้ มันหายไป เลยมีความรู้สึกว่าหัวหงอกอย่างเรามันคือตัวอะไร ก็เลยอาจจะมีบ้างที่รู้สึกน้อยอกน้อยใจ แต่ ณ ตอนนั้นก็เป็นอารมณ์ผีเข้าผีออกตามประสาคนแก่ แต่ ณ วันนี้คิดว่าทุกอย่างมีนควรหยุด เราไม่สามารถหยุดคนอื่นได้ ไม่สามารถไปบอกคนอื่นให้ปรับปรุงได้ว่าควรหยุด แต่สิ่งที่ทำได้คือเราต้องทำใจตัวเอง ด้วยโลกมันเปลี่ยนไปเยอะมาก ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้อยู่ตรงนี้ได้”


ที่โพสต์ไปเราไม่ได้เจาะจงใครใช่ไหม
“เอาเป็นว่าไม่เจาะจงดีกว่า”

แต่ล่าสุดเหมือนมีน้องนักแสดงร่วม น้องน้ำตาล-ชลิตา ออกมาชี้แจง เพราะหลายคนโยงว่าเป็นเขาเพราะพี่ต้อมบอกเขาเป็นดาว
“คือเราหมายถึงว่าเป็นนักแสดงแล้วเดินติดดินไม่ได้หรือ อยากแค่บอกน้องๆ รุ่นลูกๆ หลานๆ ว่าถึงจะเป็นคนของประชาชน เป็นนักแสดงแต่เราก็คือมนุษย์คนนึง”


ยืนยันได้มั้ยว่าที่โพสต์ไม่ใช่น้ำตาล-ชลิตา
“เอาเป็นว่าไม่ต้องพูดถึงดีกว่า เอาเป็นว่าไม่ใช่ จบๆ”

แต่เวลาเราเข้าซีน และน้ำตาลขึ้นสตอรี่ไอจี มันดูสอดคล้องกัน
“ตัวเอง เราไม่ได้ทำละครแค่เรื่องเดียว”

หลังเราโพสต์ไป มีใครสายตรงมาหาไหม
“ก็จะมีสื่อโทรมาถามว่ามันอะไร ยังไง บางคนเราก็คุยไป แต่ดาราไม่มีใครโทรมาถามนะ ผู้จัดการน้องน้ำตาลไม่ได้มีโทรมาเคลียร์

อยากสอนอะไรน้องคนที่เรากล่าวถึงไหม
“ขอบอกโดยรวมดีกว่า อย่างที่พี่ได้พูดไปแล้ว คือวงการนี้มันมาแว๊บไปแว๊บเนอะ สมัยนี้ก็ต้องรู้จักสัมมาคาราวะ อยู่ให้เป็น รู้จักเวลา ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่จะถ่ายละคร มันต้องมีอีก 20-30 ชีวิต รอคุณอยู่ ความเกรงใจมันต้องมี”

เหตุการณ์ที่เจอคือน้องคนนั้นมาสาย หรืออะไร
“อย่าบอกว่าน้องคนนั้น อย่าต่อตรง (หัวเราะ) มันก็มีหลายๆ คน เอาแบบนี้ดีกว่าเพราะเราส่งต่อถึงทุกๆ คนจริงไหม คือที่พูดไปหมายถึงโดยรวมที่เคยปะทะหรือเจอะเจอมา ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นใคร”

ได้มีโอกาสสอนเขาบ้างไหม
“ยังก่อนไหม แต่พี่จะเป็นคนประมาณนี้คือนับ 1 ถึง 10 แล้วถ้ามันไม่ใช่ ไม่ไหว ก็น้องบอก ส่วนที่โพสต์ไป ณ ตอนนี้พี่หลุดไปแล้ว แต่ ณ เลเวลตรงนั้นคือเลือดจะไปลมจะมาเนอะด้วยวัย ตอนนั้นก็เลเวล 10 แล้ว ตอนนี้ตกมา 0 แล้ว ไม่มีอะไรอยู่ในใจหรือในหัวสมอง ที่สำคัญเรามีอะไรก็จะปรึกษาผู้หลักผู้ใหญ่ เพราะเราทำทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เราไม่สามารถที่จะอคติกับใครได้เพราะเราจะไม่สามารถทำงานได้ อย่างที่บอกคือ ณ ตอนนี้ทุกอย่างมันต้องหลุดออกไปจากหัว หากเราทำงานกับใครแล้วยังมีอคติแบบนี้ เราอยู่วงการนี้ไม่ได้ เพราะมันจะอยู่ด้วยความไม่สบายใจ มองหน้ากันไม่ติด ถูกไหม”

แสดงว่าผู้ใหญ่ก็มีเรียกคุยกับสิ่งที่โพสต์ไป
“ผู้ใหญ่ในที่นี้ก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ในวงการ แต่เป็นผู้ใหญ่ที่เรานับถือ”

หลังจากที่โพสต์ไปแล้ว น้องที่ได้ร่วมงานกับพี่หลายๆ คน มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปไหม
“(ยิ้ม) ก็น่ารักขึ้น เราก็ยังร่วมงานกันได้ปกติค่ะเพราะพี่ก็ปกติกับทุกคนอยู่แล้ว บรรยากาศภายในกองก็ดีค่ะ (หัวเราะ)”

ถ้าเรื่องต่อไปจะต้องได้ร่วมงานกันอีก โอเคไหม
“ร่วมค่ะ พี่บอกแล้วพี่ไม่มีอะไร พี่อาจจะปรี๊ดแค่วันนั้น แต่ ณ ตอนนี้คือพี่สงบแล้ว อย่างที่บอกว่าเราไม่สามารถจะเปลี่ยนใครได้ นอกจากเปลี่ยนตัวเราเอง ถ้าเราเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ เราก็เปลี่ยนคนรอบข้างไม่ได้”

กลัวว่าจากนี้นักแสดงรุ่นจะเกร็งเวลาต้องได้ร่วมกับเราไหม
“ตัวเอง ขอฝากบอกทางกล้องทุกๆ สื่อเลยนะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเกร็ง แม่ลดลงแล้วลูก (หัวเราะ)”


เราคิดว่าแรงไปไหมกับสิ่งที่โพสต์ เพราะถึงขั้นกรวดน้ำให้กันเลย
“มันก็เป็นอารมณ์ช่วงหนึ่งเนอะ ตอนนี้หายแล้ว โพสต์นั้นเดี๋ยวไปเอาออกเลยก็ได้ (หัวเราะ) บางทีเราโพสต์แล้วก็ลืมไป เพราะเราแค่ต้องการที่ระบายอารมณ์ บางทีโพสต์ไปแล้วก็ไม่ได้เข้าไปดูกระแสตอบกลับ นานๆ ทีถึงจะเข้าไปดูสักที จนบางครั้งเพื่อนๆ รุ่นพี่บางคนต้องโทรมาถามว่า ต้อมเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่เห็นอ่านไลน์หรือเฟซบุ๊กเลย 2-3 เดือนแล้ว ไม่สบายหรือเปล่า เราก็บอกไม่เป็นอะไร เป็นติส โลกส่วนตัวเยอะไปนิด (หัวเราะ)”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน