ทำความรู้จักฟุตบอลยูโร 2020

เกาะติดยูโร2020

ใกล้เข้ามาทุกขณะสำหรับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 ในวันที่ 11 มิ.ย.-11 ก.ค. แต่ก่อนที่ทัวร์นาเมนต์สุดสำคัญนี้จะเริ่มขึ้นเรามาทำความรู้จักฟุตบอลยูโรว่ามีความเป็นมาอย่างไร รวมถึงข้อมูลเบื้องต้นและสิ่งน่าสนใจในยูโร 2020 ครั้งนี้

ที่มาของฟุตบอลยูโร

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ฟุตบอลยูโร จัดขึ้นทุก 4 ปี โดยยูโร เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 ในชื่อรายการว่า “ยูโรเปียน เนชันส์ คัพ” จากแนวคิดของ อ็องรี เดอโลแน เลขาธิการสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสขณะนั้น ทั้งนี้การแข่งขัน 5 ครั้งแรก มีทีมชาติร่วมแข่งขัน รอบสุดท้ายเพียง 4 ประเทศ

ต่อมาตั้งแต่การแข่งขันครั้งที่ 3 ค.ศ. 1968 เปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็น “ยูโรเปียน ฟุตบอล แชมเปียนชิพ” หรือ ยูโร เหมือนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

ข้อมูลเบื้องต้นยูโร 2020

เดิมทียูโร 2020 จะต้องจัดการแข่งขันกันตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.-11 ก.ค. 2020 ทว่าจากการเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วโลกส่งผลให้ยูฟ่าตัดสินเลื่อนการแข่งขันไป 1 ปี ถึงกระนั้นก็ยังจะใช้ชื่อว่า ยูโร 2020 เพื่อคงเอกลักษณ์ของการแข่งขันเอาไว้

สำหรับครั้งนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษ เนื่องจากครบรอบ 60 ปี ทำให้มีเจ้าภาพการแข่งขันถึง 11 เมืองใน 11 ประเทศทั่วทวีป ประกอบด้วย เนเธอร์แลนด์, ฮังการี, สเปน, สกอตแลนด์, อังกฤษ, เดนมาร์ก, อิตาลี, อาเซอร์ไบจาน, รัสเซีย, โรมาเนีย และเยอรมัน

ส่วนกลุ่มการแข่งขันแบ่งเป็นทั้งหมด 6 กลุ่ม 24 ทีม ดังนี้

กลุ่มเอ : ตุรกี, อิตาลี, เวลส์, สวิตเซอร์แลนด์

กลุ่มบี : เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, เบลเยียม, รัสเซีย

กลุ่มซี : เนเธอร์แลนด์, ยูเครน, ออสเตรีย, นอร์ท มาซิโดเนีย

กลุ่มดี : อังกฤษ, โครเอเชีย, สกอตแลนด์, สาธารณรัฐเช็ก

กลุ่มอี : สเปน, สวีเดน, โปแลนด์, สโลวะเกีย

กลุ่มเอฟ : ฮังการี, โปรตุเกส, ฝรั่งเศส, เยอรมัน

ด้านการคัดเลือกเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในยูโร 2020 นั้นจะเอา 2 ทีมที่ดีที่สุดจากแต่ละกลุ่มเข้ารอบ บวกกับอันดับ 3 ที่ดีที่สุดจาก 6 กลุ่มอีก 4 ทีม (นับจากคะแนนมินิลีก) จนได้ 16 ทีมสุดท้าย

ส่วนเงินรางวัล ทีมที่เข้าร่วมจะได้รับอย่างน้อย 9.25 ล้านยูโร (ราว 345.8 ล้านบาท) และมีสิทธิ์ได้มากที่สุดคือ 34 ล้านยูโร (ราว 1.27 พันล้านบาท) ส่วนรอบแบ่งกลุ่มทีมที่ชนะจะได้ 1.5 ล้านยูโร (ราว 56 ล้านบาท) หากเสมอจะได้ 750,000 ล้านยูโร (ราว 28 ล้านบาท)

สนามแข่งยูโร2020 : เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก สเตเดียม

The Henri Delaunay Trophy, the Euro 2020 trophy, is displayed on a podium at the Saint-Petersburg stadium in St. Petersburg, Russia, Saturday, May 22, 2021. (AP Photo/Dmitri Lovetsky)

ทีมเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายจะได้ 2 ล้านยูโร (74.7 ล้านบาท), รอบก่อนรองชนะเลิศ หรือรอบ 8 ทีมจะได้ 3.25 ล้านยูโร (ราว 121.5 ล้านบาท), รอบรองชนะเลิศรองชนะเลิศจะได้ 5 ล้านยูโร (ราว 186.9 ล้านบาท), รองแชมป์ 7 ล้านยูโร (ราว 261.7 ล้านบาท) และแชมป์ 10 ล้านยูโร (ราว 373.9 ล้านบาท)

ในส่วนของมาสคอต ยูโร 2020 ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นสัตว์ชนิดต่างๆ เหมือนที่ผ่านๆ มา แต่เป็นตัวการ์ตูนในคราบเด็กนักฟุตบอลซึ่งมีชื่อว่า “สกิลซี” โดยมีแรงบันดาลใจในการสร้างมาจากนักฟุตบอลฟรีสไตล์ ผสมผสานกับสตรีตฟุตบอลที่กำลังเป็นที่นิยมในโลกฟุตบอล ณ ปัจจุบัน

UEFA Euro 2020 mascot Skillzy poses with the trophy during a boat tour in Saint Petersburg, Russia May 22, 2021. REUTERS/Anton Vaganov

ขณะที่เพลงประจำการแข่งขันครั้งนี้มีชื่อว่า “วี อาร์ เดอะ พีเพิล” โดยศิลปิน โบโน, เดอะ เอจ และมาร์ติน การิกซ์ ดีเจชื่อดัง โดยเพลงนี้เป็นเพลงที่แสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่ทั้งโลกกำลังเผชิญหน้าอยู่ พร้อมเป็นเพลงที่ฟังง่าย และติดหูเพื่อให้ทุกคนสามารถร้องได้ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด

สิ่งที่น่าจับตาในยูโร 2020

สำหรับการแข่งขันยูโร 2020 มีสิ่งที่น่าจับตามากมาย เริ่มจากการลุ้นแชมป์สมัยที่ 4 ของเยอรมันกับสเปน ที่ผ่านมาทั้ง 2 ชาติต่างสามารถคว้าแชมป์ยูโรได้มากที่สุด นั่นก็คือ 3 ครั้งเท่ากัน โดยในครั้งนี้ต้องมาติดตามว่า “อินทรีเหล็ก” (แชมป์ในปี 1972, 1980 และ 1996) หรือ “กระทิงดุ” (แชมป์ในปี 1964, 2008 และ 2012) จะสามารถซิวโทรฟี่มาครอง และกลายเป็นแชมป์รายการนี้สมัยที่ 4 ของพวกเขา พร้อมขึ้นไปอยู่ในทำเนียบของผู้นำเดี่ยว

นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงกฎบางอย่างเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน โดยสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ยอมให้แต่ละชาติมีนักเตะ รวมผู้รักษาประตูอีก 3 คนรวมเป็น 26 คน มากกว่าของเดิมที่ให้ 23 คน แต่ว่าแต่ละนัดจะใส่ชื่อได้เพียง 23 คนเท่านั้น

รวมถึงยังมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นพิเศษ โดยแต่ละเกมกำหนดให้เปลี่ยนตัวได้ทีมละ 5 คน และหากต่อเวลาพิเศษสามารถเปลี่ยนผู้เล่นคนที่ 6 ลงมาได้อีก อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ว่าจะกี่คนต้องเกิดขึ้นภายใน 3 ครั้งเท่านั้น

รวมไปยังเป็นการกลับมาของทีมหน้าเก่าอย่าง สกอตแลนด์ (กลุ่มดี) ที่คัมแบ๊กในรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี รวมถึงมี 2 ทีมน้องใหม่อย่าง ฟินแลนด์ (กลุ่มบี) และนอร์ท มาซิโดเนีย (กลุ่มซี) ซึ่งเข้าร่วมแข่งขันรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน