นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมก้าวสู่กลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ ในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจร เพื่อต่อยอดการเงินปัจจุบันสู่บริการทางการเงินดิจิตอล ล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจเพิ่มอีก 4 ธุรกิจ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 17 ธุรกิจ ซึ่งใบอนุญาตใหม่ประกอบด้วย ธุรกิจนายหน้าและผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิตอล, แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอล และใบอนุญาต Digital asset fund manager รวมถึง Open-architecture licenses เพื่อเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้แก่ลูกค้า คาดว่าจะได้การอนุมัติภายในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจครอบคลุมการให้บริการทางการเงินครบวงจร

ส่วนความคืบหน้าธุรกิจให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิตอลในประเทศไทย (ICO Portal) โดยใน ปีนี้ เตรียมออก ICO 2 ตัว ประกอบด้วยโทเคนดิจิตอลเพื่อการลงทุนสิริฮับ ซึ่งเป็น ICO ที่มีสินทรัพย์ในรูปแบบอสังหาริมทรัพย์หนุนหลังตัวแรกของไทย ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะเปิดตัวได้ในปลายเดือนส.ค.นี้ และจะเริ่มเสนอขายในเดือนก.ย.นี้ เบื้องต้นกำหนดราคาขายที่ 10 บาทต่อ 1 โทเคน (เหรียญ) รวมถึงภายในปีนี้ยังเตรียมเสนอขาย Ready to use Utility Token เป็นครั้งแรกในวงการเอนเตอร์เทนเมนต์ และ EV Charging Ecosystem ของประเทศไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE) ผู้ให้บริการเบอร์หนึ่งด้านการให้บริการชาร์จรถ EV ครบวงจรภาย ตลอดจนการเปิดรับ คริปโทในการซื้อที่อยู่อาศัยและชำระค่าส่วนกลางของแสนสิริทุกโครงการ ครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย

ทั้งนี้ ปัจจุบันเอ็กซ์สปริงประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจการเงิน ได้แก่ ธุรกิจหลักทรัพย์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ธุรกิจจัดการกองทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด และธุรกิจจัดการเงินลงทุน ซึ่งก่อนหน้านี้เอ็กซ์สปริง ประสบความสำเร็จจาการเพิ่มทุนได้สูงถึง 7,111 ล้านบาท รวมถึงมีการร่วมลงทุนจากพันธมิตร เช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

โดยผลประกอบการครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 167 ล้านบาท และกำไร 65 ล้านบาท มั่นใจกำไรปีนี้แตะ 3 หลัก หรือกว่า 100 ล้านบาท และในปี 2565 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามการรับการขยายตัวของตลาดการเงินดิจิตอล

“ในปี 2564 บริษัทวางแผนรุกธุรกิจครั้งใหญ่สู่การเป็น “Digital Financial Service” ผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจร ที่จะเปลี่ยนโลกธุรกิจการเงินเดิมๆ สู่นวัตกรรมการเงิน ด้วยการต่อยอดความเชี่ยวชาญ ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีดิจิตอล เชื่อมโยงโลกการเงินปัจจุบันและโลกบริการการเงินดิจิตอลอนาคตเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงโลกการเงินและการลงทุนได้สะดวกและง่ายดาย ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง รวมทั้งสามารถเปิดรับข้อมูลการลงทุนได้อย่างครอบคลุมโปร่งใส และน่าเชื่อถือ ซึ่งนับเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลก ก้าวใหม่ของเอ็กซ์สปริงวันนี้ จึงมาจากการมองเห็นเทรนด์การเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจการเงินดิจิตอลทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกมูลค่ากว่า 40 ล้านล้านบาท (1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ที่มีโอกาสเติบโตสูงและจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศได้อีกมากในอนาคต ซึ่งเอ็กซ์สปริงวางเป้าการเติบโตไปพร้อมตลาดโลกผ่านสินทรัพย์ที่จะมาแทนที่เงินสกุลต่างๆ เช่น คริปโทเคอเรนซี่ และการซื้อขายทองคำผ่านระบบดิจิตอล ซึ่งเพียงแค่ตลาดบิทคอยน์ตลาดเดียวก็โตกว่า 24 ล้านล้านบาท (8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) รวมทั้งในตลาดแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และ Decentralized Finance ที่มีขนาดกว่า 11.7 ล้านล้านบาท (3.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) และ 1.35 ล้านล้านบาท (45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามลำดับ นอกจากนั้น Utility Token และ Security Token ก็ยังเป็นการเงินดิจิตอลที่มีการเติบโตสูงเช่นกัน ด้วยขนาดตลาดในปัจจุบันที่สูงถึง 1.95 ล้านล้านบาท (64,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ทั้งนี้ ทั่วโลกยังนำโทเคนดิจิตอลและระบบบล็อกเชนมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ โทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น ทอง ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก (Disruption) ที่จะนำมาสู่โอกาสทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริงอีกมากมายในอนาคต”


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน