การเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐ หรือ พปชร. แสดงบรรยากาศที่คึกคัก แต่ไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากนัก
เพราะก่อนหน้าการเปิดตัวมีข่าวและความคาดเดาออกมาเช่นนี้อยู่แล้ว
ทั้งตัวรัฐมนตรีร่วมพรรค หัวหน้าพรรค และสมาชิกจากกลุ่มกปปส.
ขณะที่ชื่อพรรคการเมืองไม่แตกต่างจากคำที่รัฐบาลใช้ดำเนินนโยบายและงบประมาณ จึงย่อมถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด
เป็นความใกล้ชิดทั้งทางความคิดและการเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อนเกิดเหตุรัฐประหาร
แม้สมาชิกคนสำคัญของพปชร.ชี้ให้เห็นว่า กรรมการบริหารพรรค รวมถึงผู้ร่วมก่อตั้งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับทหาร ไม่มีสัดส่วนของทหารเข้ามาเป็นส่วนประกอบของพรรค
อีกทั้งแวดวงวิชาการ นักธุรกิจ ไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ และอีกหลายคนในพรรคก็ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ
พร้อมระบุว่าตั้งพรรคขึ้นมาเป็นทางเลือกให้ประชาชน ต้องการเป็นทางออกของประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง และไม่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดอำนาจ
หากเป็นพรรคที่รวบรวมคนดี คนเก่ง มาสร้างการเมืองใหม่ให้ประเทศ
จุดนี้เองเป็นเรื่องที่ตอกย้ำความสอดคล้องในเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
แนวทางการรวบรวมคนดี-คนเก่ง ดังกล่าว คล้ายกับแนวคิดของกลุ่มที่เคลื่อนไหวก่อนเหตุการณ์รัฐประหารที่ไม่พอใจรัฐบาลและสมาชิกรัฐสภา ด้วยคิดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่ดีพอและเก่งพอ
เป็นความพยายามที่เคยทำให้ประชาชนพลาดโอกาสตัดสินเปลี่ยนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตยด้วยตนเองมาแล้ว
การรวมตัวของสมาชิกพรรค พปชร. และเปิดตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง จึงเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าใครกลุ่มใดจะมีความคิดและความเชื่ออย่างไร ต้องเดินทางไปตามเส้นทางที่ให้ประชาชนตัดสิน และตัดสินกันด้วยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน โดยไม่ดูถูกดูแคลน หรือละเมิดการตัดสินใจของประชาชน
ไม่ว่าบุคคลหรือคณะนั้นๆ จะดีหรือเก่งเพียงใด จะเป็นพรรคทหาร พรรคคสช. หรือพรรคพปชร. ต้องยอมรับหลักการนี้เป็นสำคัญก่อน