ร่างกายคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 75% ของน้ำหนักตัว เราอาจอดอาหารได้เป็นเดือนๆ แต่ร่างกายไม่สามารถขาดน้ำได้เกิน 3-7 วัน
เนื่องจากน้ำถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของอวัยวะต่างๆ ไม่ว่าผิวหนังที่มีน้ำอยู่ถึง 64%, กล้ามเนื้อ 79%, หัวใจ 73%, สมอง 73%, ปอด 83% หรือแม้กระทั่งกระดูกที่มีปริมาณน้ำอยู่ถึง 31%
ดังนั้นประโยชน์ของการดื่มน้ำอย่างถูกวิธีจะช่วยให้สุขภาพและการทำงานของอวัยวะต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น การทำงานของหัวใจเป็นปกติ สมองปลอดโปร่ง ผิวพรรณชุ่มชื่น ไม่ปวดกระดูก
อีกทั้งยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงอย่างที่เรียกกันว่า สุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก
แล้วการดื่มน้ำอย่างถูกวิธีเป็นอย่างไร ปริมาณเท่าไหนถึงจะดีและเหมาะสมต่อร่างกาย??
มาฟังคำแนะนำดีๆจากกูรูด้านสุขภาพความฟิต ครูดอน-ทนงศักดิ์ วงษาโสม Fitness Training and Development Manager จาก ฟิตเนส เฟิรส์ท
ประเด็นแรกดื่มน้ำเท่าไหร่ดี? ครูดอนอธิบายว่า ตำราไหนก็บอกว่าควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่ขนาดแก้วนี่คือแก้วเล็กหรือแก้วใหญ่? แล้วคนตัวใหญ่กับคนตัวเล็กก็ดื่มน้ำเท่ากันหรือ?
ในความเป็นจริงทุกคนสามารถคำนวณปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการต่อวันง่ายๆ โดยน้ำหนักร่างกาย 10 กิโลกรัม ต้องการน้ำ 300 มิลลิลิตรต่อวัน ดังนั้น คนที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ต้องการน้ำ 1,500 มิลลิลิตรต่อวัน คนที่หนัก 70 กิโลกรัม ร่างกายก็ต้องการน้ำ 2,100 มิลลิลิตรต่อวัน ฯลฯ
ที่สำคัญควรดื่มแบบค่อยๆจิบตลอดวัน ทุก 15–20 นาที ไม่ใช่ดื่มรวดเดียวในปริมาณมากๆ
ครูดอนยังบอกด้วยว่า การดื่มน้ำยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย ดังนั้นคนรักสุขภาพรวมถึงสายฟิตเนสทั้งหลายก็อย่าได้มองข้ามเรื่งอ เพราะนอกจากน้ำจะเป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อแล้ว ยังส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ และช่วยรักษาการทำงานของข้อต่อต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
โดยเหตุผลที่การดื่มน้ำช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายก็คือ
* กล้ามเนื้อทำงานได้ดี ซึ่งรวมถึงการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ขนส่งออกซิเจนไปใช้ได้เพียงพอ
* ระบบหายใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
* เกลือแร่และน้ำในกล้ามเนื้อมีความสมดุล หากขาดความสมดุลจะเป็นสาเหตุของความเมื่อยล้าหลังออกกำลัง
* น้ำช่วยหล่อลื่นและลดการกระแทกของข้อต่อขณะเคลื่อนไหว
ทั้งนี้ ข้อมูลของ American College of Sports Medicine ระบุว่า ร่างกายควรได้รับน้ำทั้งช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการขาดน้ำ ดังนี้
– 2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย 500-600 มิลลิลิตร ปริมาณโดยรวมแนะนำให้ค่อยๆ จิบดื่มเป็นระยะไม่ใช่ดื่มในครั้งเดียว
– ระหว่างออกกำลังกาย 120-240 มิลลิลิตร ปริมาณโดยรวมเมื่อจิบน้ำทุก 15-20 นาที
– เมื่อชั่งน้ำหนักหลังออกกำลังกายแล้ว ให้ดื่มน้ำทดแทนในปริมาณที่เท่ากับน้ำหนักที่ลดไป
นั่นจึงเป็นเหตุผลของการชั่งน้ำหนักก่อนและหลังออกกำลังกายของนักกีฬา เพื่อจะได้รู้ปริมาณของน้ำที่ร่างกายเสียไป และดื่มทดแทนหลังออกกำลังกาย
ดังนั้นหากใครที่เคยออกกำลังแล้วรู้สึกดังนี้… หมดแรงระหว่างออกกำลังกาย หลังออกกำลังกายมีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ สภาพร่างกายอ่อนล้า วันรุ่งขึ้นดูโทรมแทนที่จะรู้สึกสดชื่น ฯลฯ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะร่างกายอยู่ในสภาวะขาดน้ำ เนื่องจากดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อปริมาณที่สูญเสียไป
โดยสัญญาณเตือนว่าร่างกายเริ่มขาดน้ำที่สามารถจับสังเกตตัวเองได้ อาทิ กระหาย คอแห้ง ริมฝีปากแห้ง ตาโหล หายใจถี่ เวียนหัว ปัสสาวะสีเข้ม มีกลิ่นแรง ปัสสาวะน้อย ไม่มีแรง หงุดหงิดง่าย ประสิทธิภาพในการทำงาน การตัดสินใจ และการออกกำลังกาย ลดลง
กูรูด้านการออกกำลังกายย้ำด้วยว่า ยิ่งร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อมากเท่าไร ยิ่งมีปริมาณน้ำมากเท่านั้น ในทางกลับกัน ยิ่งร่างกายมีปริมาณไขมันมากเท่าไร ยิ่งมีปริมาณน้ำในร่างกายน้อย
ดังนั้นร่างกายที่มีปริมาณไขมันมากจึงลดประสิทธิภาพในการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายไปด้วย
รู้สาระดีๆกันแล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพดีก็หันมาดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายและดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการกันเถอะ