คอลัมน์ หลอน

นทธี ศศิวิมล

ใครก็ต่างเห็นเขาอยู่ใต้สะพานข้ามแยกมาหลายปีแล้ว แม่ค้าบางคนบอก 5 ปี พ่อค้าบางคนบอกเกิน 10 ปี พนักงานเซเว่นฯ สาขาเก่าแก่ของละแวกนี้บอกหนูก็เห็นมันอยู่ทุกวัน ตำรวจป้อมยามฯ ใกล้กันยักไหล่แล้วบอกว่า ไม่รู้ ตั้งแต่ย้าย มาประจำตู้ยามฯ นี้เมื่อ 6-7 ปีก่อนก็เห็น “ไอ้บ้า” นี่อยู่แล้ว

จะเป็น “ไอ้บ้า” “คนจร” หรือใครก็ตาม โดยเฉพาะกับพนักงานเซเว่นฯ เขาก็คือลูกค้าคนหนึ่ง ที่มักจะเข้ามาซื้อน้ำดื่มเป็นประจำ แต่มีพนักงาน เซเว่นฯ คนหนึ่งมักพูดจาไม่ดี

“เร็วๆ เอาอะไรเลือกเลย แล้วรีบออกจากร้าน” เสียงแข็งๆ ของพนักงานที่ชื่อนิด ทำเอาลูกค้าคนอื่นหันไปมอง เธอจึงแก้เกี้ยวด้วยการพูดต่อ “อย่างนี้แหละค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่เขามา รบกวน จะไม่ให้ซื้อก็สงสาร”

ครั้งหนึ่งมีคนตอบไปว่า “สงสารก็ให้เขาฟรีสิ” พนักงานชื่อนิดแอบค้อน ลูกค้าพูดต่อ “เขามาซื้อไม่ใช่หรือ ถ้างั้นเขาก็เป็นลูกค้าคนหนึ่งเหมือนกัน”

หลังลูกค้าและคนจรออกจากร้าน เพื่อนจึงแซว “เห็นมะ เจอดีแล้วแก ชั้นบอกกี่ทีแล้ว จะไปรังเกียจรังงอนมันทำไม”

นิดหน้าเบ้ ทำเป็นไม่สน “สกปรก น่ารังเกียจ” พูดแล้วก็หันไปทำงานจัดของต่อ

ดูเหมือนคนจรไม่ยี่หระที่ใครจะปฏิบัติต่อเขาเช่นไร แม่ค้าพ่อค้าก็มักจะแสดงท่ารังเกียจตัวเขา ทว่าไม่เคยรังเกียจเงินของเขา เขาอยู่บริเวณใต้สะพาน กินนอนและขับถ่ายตรงที่รกร้างว่างเปล่าฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ เขาได้เงินจากการเก็บขยะขาย บางทีคนเดินผ่านสงสารก็หยิบยื่นเงินให้ ครั้งหนึ่งมีคนเห็นชายคนหนึ่งมอบจักรยานให้ แล้วเรื่องที่ชาวบ้านหลายคนเห็นว่าแสนฉลาดก็คือ เขานำไปขายแลกเงินมาใช้แทน ที่ทุกคนรู้ เพราะพ่อค้าร้านจักรยานใกล้กันนั่นเองที่รับซื้อไป

“มันฉลาดนะ ผมให้สองร้อย มันหัวเราะแล้วบอกว่าเจ็ดร้อย พอผมบอกว่าเต็มที่ห้าร้อย มันขอหกร้อย ผมเลยต้องยอมซื้อมัน” ใครดูด้วยสายตาก็รู้แล้วว่าเป็นจักรยานราคาแพง จะนำไปขายต่อทั้งคันหรือแยกชิ้นส่วนก็ได้ราคาหลายพันบาทแน่นอน

วันนั้นเป็นยามบ่ายที่อากาศอบอ้าว ฝนตกลงมาเพียงไม่กี่หยดกลับยิ่งทวีความอบอ้าวให้กระจายตัวมากขึ้น ชายคนจรลุกจากที่นอนใต้สะพานพลางบิดขี้เกียจก่อนจะล้วงไปในกระเป๋าใบที่ใช้หนุนนอนต่างหมอนล้วงเอาเงินออกมาจำนวนหนึ่งแล้วเดินข้ามถนนมายังร้านเซเว่นฯ ตามปกติ เช่นเดียวกันพนักงานชื่อนิดก็ยังคงทำท่ารังเกียจ เมื่อเขาได้น้ำดื่มแล้วก็ออกจากร้าน หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจคนในร้านก็ได้ยินเสียงรถเบรกและชนเข้ากับของบางอย่าง

พนักงานวิ่งไปดู แม่ค้า คนเดินทางมุงดูกันเต็ม ปรากฏว่าคนจรมีเลือดท่วมตัว อีกไม่นานเขาก็เสียชีวิต ตำรวจออกจากป้อม ไม่นานรถมูลนิธิก็มา

“จบเสียที” นิดพูดขณะประตูอัตโนมัติของร้านเปิดออก เธอมองหน้าพูดกับเพื่อนที่เพียงพยักหน้าเออออไปตามเรื่อง

เช้าวันรุ่งขึ้นและอีกหลายวันต่อมา นิดสารภาพกับเพื่อนว่า “เหมือนชั้นจะรอมันมาซื้อน้ำนะ”

“มัน?”

“ก็ไอ้คนจรจัดไอ้บ้านั่นน่ะ”

“อ๋อ เหรอ คิดถึงมันมากล่ะสิ ไม่มีคนให้ด่า”

นิดเบะปาก เพื่อนพูดต่อ “ระวัง คิดถึงมันมากเดี๋ยวมันจะมาหา”

แล้วหลังจากนั้นเพื่อนหลายคนก็กระเซ้าเย้าแหย่และแกล้งนิดเสมอ ด้วยการ

“เฮ้ ใครเดินมาแล้วนะ”

“นั่นไง มาซื้อน้ำแล้ว หันไปดูสิ”

“มีคนคิดถึงแกนะ นิด”

หลายครั้งเข้า นิดเริ่มสะดุ้งและหันไปมองตามที่ประตู หลายครั้งก็เหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง นานเข้ากลายเป็นสะดุ้งตกใจกลัว เหมือนคนจรจะมาหาจริงๆ

เลิกงานคืนหนึ่ง นิดก้าวออกจากร้านเพื่อนก็แกล้งโดยการชี้ไปที่ใต้สะพานลอย “มันรอแกอยู่ฝั่งนั้นน่ะ” แล้วเพื่อนก็หัวเราะ นิดด่าว่าบ้าคำเดียว แต่เธอก็อดมองและเก็บไปคิดไม่ได้ เธอรู้สึกเหมือนคนจรจะเดินตามเธอขึ้นรถเมล์กลับห้อง เหมือนมันจะเดินขึ้นบันไดไปด้วย เหมือนมันจะนั่งอยู่กับเธอในห้อง ในห้องน้ำ บนที่นอนและในความฝัน นิดสะดุ้งตื่นกลางดึกอย่างเหงื่อโทรมกาย เธอมองไปรอบตัวอย่างตระหนก ในความ มืดมิดนั้นเหมือนเธอจะเห็นคนจรนั่งอยู่มุมห้องอย่างยิ้มแย้มและสาแก่ใจ เหมือนนิดได้ยินคนพูดด้วยว่า “คิดถึงชั้น ใช่มั้ยล่ะ” นิดยกมือปิดหู กรีดร้องอย่างตื่นตระหนก

ตลอดเวลาต่อมานิดทำงานผิดพลาดและเหมือนคนใจลอย เธอทอนเงินผิด เธอสแกนสินค้าซ้ำชิ้น เธอเดินสะดุดหกล้ม ที่สุดผู้จัดการก็ให้เธอลาหยุด

ที่ห้องเธอเหมือนคนไม่มีสติอยู่กับตัว เธอมองเห็นคนจรทั่วห้อง เมื่อเดินออกจากห้องเพื่อหนี เธอก็ยังมองเห็นคนจรติดตามเธอไปในทุกที่

สามวันนิดยังไม่ไปทำงาน เพื่อนคนหนึ่งเอะใจตามไปหาที่ห้องก็พบนิดนอนหมดสติในห้อง เพื่อนเห็นท่าไม่ดี รีบพาไปโรงพยาบาล นิดละเมอตลอดเวลา “มันบอกจะพาชั้นไปอยู่ด้วย”

เพื่อนสะดุ้ง เพื่อนทำท่าตื่นกลัวพลางอดเหลียวมองไปรอบตัวไม่ได้เช่นกัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน