เตือน!เลี่ยงถามซ้ำ ลูกเหยื่อสาดน้ำกรด

 

เตือน!เลี่ยงถามซ้ำ ลูกเหยื่อสาดกรด : จากเหตุการณ์หญิงสาวถูกสามีสาดน้ำกรด เป็นเหตุให้เสียชีวิต โดยขณะการร้องเรียนกรณีโรงพยาบาลปฏิเสธการรักษา

เกิดการโต้เถียงกันระหว่างองค์กรผู้ช่วยเหลือ ญาติผู้ตายกับแพทย์โรงพยาบาล พร้อมกับมีการเรียกร้องให้เด็กหญิงวัย 12 ปี บุตรสาวผู้ตาย เล่าเหตุการณ์ขณะพาแม่ส่งโรงพยาบาล ก่อนที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจะมีปากเสียงกันขั้นรุนแรงจนเด็กหญิงเกิดอาการ ตกใจร้องไห้ออกมา ญาติต้องโอบกอดและปลอบขวัญนั้น

ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา หัวหน้าศูนย์พัฒนาศักยภาพมนุษย์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่าในเรื่องคดีความจะต้องมีการซักถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่วันนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิด การโต้เถียงรุนแรง

เด็กซึ่งอยู่ในสภาพช็อกจากการสูญเสียแม่ ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกอาจทำให้เสียขวัญ ตอนนั้นเด็กร้องไห้ ตัวสั่น พูดว่าหนูกลัว เท่าที่เห็นญาติโอบกอดน้องเอาไว้ มีการปลอบประโลม ญาติจะต้องทำให้เขารู้สึกไม่เคว้งคว้างขวัญเสีย การโอบกอดจะเป็นการให้พลัง ให้กำลังใจเด็ก เรียกขวัญเด็กกลับมา

“ตอนที่แม่บาดเจ็บน้องอาจจะดูมีสติดีพอควร ช่วยเหลือแม่พามาส่งโรงพยาบาล แต่หลังจากนั้นเมื่อแม่เสียชีวิตมันเป็นช่วงที่ตั้งรับสถานการณ์ไม่ทัน ช็อก! ส่งผลต่อจิตใจเด็ก เรื่องสภาพจิตใจนั้นยิ่งเป็นคดีความต้องมีนักจิตวิทยามาดูแลอยู่แล้ว เพราะน้องเป็นเยาวชน ทั้งยังต้องมีคนที่เด็กวางใจ มีคนใกล้ชิดมาคอยอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลเด็ก เขาต้องไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว

ต้องรู้สึกว่ามีที่พึ่งพา หลังจากนี้ญาติต้องดูแลใกล้ชิด คอยพูดคุยด้วยคำพูดเชิงบวก ดึงความสนใจในช่วงที่เขาเศร้าเสียใจ อาจจะพูดคุยในเรื่องอื่นๆ ช่วยให้เขา ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น หากมีการซักถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในส่วนของคดีสามารถทำได้ แต่หากจะถามย้ำๆ

หรือออกไปเจอคนอื่นๆ แล้วมาพูดจาตอกย้ำให้เล่าเหตุการณ์วันนั้นซ้ำเป็นเรื่องไม่จำเป็นและไม่ สมควรทำ เพราะการเล่าเหตุการณ์สะเทือนใจซ้ำๆ ก็เหมือนมีคนมากดตรงแผลเดิมซ้ำๆ เด็กจะรู้สึกเจ็บปวด” ดร.จิตรากล่าว

ด้าน พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ รองผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่าตามหลักแล้วเมื่อเกิดเรื่องราวแบบนี้จะต้องมีการซักถามประวัติ เรื่องราวต่างๆ โดยจะต้องมีนักจิตวิทยา นักสังคม สงเคราะห์อยู่ข้างๆ ระหว่างการบันทึกประวัติอยู่แล้ว ต้องมีการให้ข้อมูลเป็นระบบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นคดีความ ไม่ทราบว่ามี เจ้าหน้าที่อยู่กับเด็กหรือไม่ แต่ไม่ควรมีการซักถามเรื่องราวซ้ำๆ ให้กระทบกระเทือนจิตใจเด็กขึ้นอีก

“ระหว่างนี้เด็กจะต้องได้รับการดูแล ต้องรู้สึกปลอดภัย เพราะเขาอาจจะกลัวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่จะมาเกิดกับเขาอีกหรือไม่ ต้องมีเจ้าหน้าที่เข้ามาประเมินว่าเด็กอยู่กับใครแล้วจะปลอดภัย ใครจะสามารถดูแลเด็กต่อไปได้

ญาติต้องดูแลให้เด็กรู้สึกปลอดภัย ไม่ควรถามเรื่องราวซ้ำๆ ตอกย้ำเด็ก หรือมีการทะเลาะกันในเรื่องดังกล่าว ควรทำให้เด็กกลับมาใช้ชีวิตปกติให้เร็วที่สุด” พญ.วิมลรัตน์กล่าว

ขณะที่ น.ส.วาสนา เก้านพรัตน์ ผู้อำนวยการมูลนิธิพิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าวว่าการพาเด็กที่เพิ่งผ่านการสูญเสีย ผ่านเรื่องกระทบกระเทือนใจ มาเล่าเหตุการณ์ซ้ำๆ มาเจอเหตุการณ์ผู้ใหญ่มีปากเสียงกันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เรื่องราวเก่าๆ กลับมาฉายซ้ำๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กควรได้รับการดูแลที่สุด

“ไม่ว่าจะมีนักสิทธิเด็กอยู่ด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ อีกทั้งเด็กที่สูญเสียพ่อแม่นั้นพึงได้รับการสงเคราะห์ตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก 2546 เจ้าหน้าที่และจิตแพทย์จะต้องเข้ามาดูแล ประเมินสภาพจิตใจเด็ก

และเจ้าหน้าที่จะต้องประเมินครอบครัวญาติของเด็กด้วยว่าสามารถดูแลเด็กต่อไป ได้หรือไม่ เด็กบางคนอาจจะมีญาติเยอะก็จริงแต่อาจจะไม่สามารถดูแลเด็กได้ หรือหากญาตินำเรื่องนี้มาพูดคุยก่นด่าซ้ำๆ ต่อหน้าเด็ก เมื่อเด็กได้ยินก็จะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ” ผู้อำนวยการมูลนิธิพิทักษ์สิทธิเด็กกล่าว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องที่

‘อัจฉริยะ’แห่ศพสาวเหยื่อน้ำกรดไปร.พ. หมอเดือด 2 ฝ่ายปรี๊ดแตกตบโต๊ะ-ชี้หน้าด่า ขึ้นมึงกู

– หนุ่มหึงโหดสารภาพ สาดน้ำกรด ใส่เมียตาย เล่าปมแค้น วางแผนตั้งแต่สงกรานต์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน