รีวิวเกม Horizon Zero Dawn : อรุณรุ่งที่ปลายฟ้า
รีวิวนี้เล่นโดยใช้ PS4 Pro และภาพประกอบหลายภาพถ่ายมาโดยเข้า Photo Mode จึงทำให้ไม่ปรากฏ UI ต่างๆ ให้เห็น
เกมหรือสื่อบันเทิงอื่นๆ เช่น ภาพยนตร์ นิยาย หรือการ์ตูน ต่างก็เคยสร้างสรรค์เรื่องราวของโลกภายหลังล่มสลายมาเล่ากันนักต่อนัก บ้างก็ด้วยภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ บ้างก็ด้วยไวรัสลึกลับที่เปลี่ยนคนให้กลายเป็นศพเดินดินเที่ยวไล่กัดกินคนเป็น แต่สำหรับ Horizon Zero Dawn เลือกที่จะนำเสนอโลกหลังล่มสลายที่ยังคงเหลือร่องรอยของความเจริญด้านวิทยาการถึงขีดสุดให้ได้เห็นกัน รสชาติของเกมจึงออกมามีผสมผสานระหว่างเนื้อหาแนววิทยาศาสตร์ไซไฟและความลึกลับสไตล์แฟนตาซีได้อย่างลงตัว
เนื้อเรื่อง
ในเกมนี้จะให้เราได้รับบทเป็น Aloy สาวน้อยกำพร้าแห่งเผ่า Nora ที่อาศัยในดินแดนน้ำแข็งอันยะเยือก เธอถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่โดย Rost ผู้ทำหน้าที่เสมือนเป็นพ่อบังเกิดเกล้า ทั้งคู่ต้องดิ้นรนใช้ชีวิตกันโดยลำพังเพราะทั้งสองคนโดนตราหน้าว่าเป็นพวก outcast ที่โดนขับไล่ออกจากเผ่า ส่งผลให้สมาชิกเผ่าคนอื่นพากันรังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มีใครยอมสนทนาด้วย ร้ายกว่านั้นก็ถึงกับกลั่นแกล้งหรือทำร้ายก็มี ทว่า Aloy นั้นมีความมุ่งมั่นประการหนึ่งนั่นคือเธอต้องการทราบให้ได้ว่าแม่ที่แท้จริงของเธอเป็นใคร ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองในการทดสอบประจำเผ่าที่เรียกว่า The Proving เพื่อจะพ้นสภาวะความเป็น outcast เสียที และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดในเกม
หากจะให้กล่าวไปแล้ว การนำเสนอเรื่องราวผ่านสายตาของหญิงสาวผู้ไม่เคยออกสู่โลกภายนอกเพื่อค้นหาตัวตนและค้นหาความหมายของตัวเองบนโลกใบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่เท่าไหร่ หากแต่เกมนี้นำเสนอได้อย่างมีชั้นเชิง เพราะการเล่าเรื่องราวในโลกไม่ใช่เพียงแค่การกางเอกสารเป็น 10 หน้าให้ผู้เล่นไปอ่านเอง (ซึ่งเอกสารที่ว่าก็มี แต่ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องราวในอดีตกาลของยุคสมัยก่อน ซึ่งห่างไกลจากเหตุการณ์ในปัจจุบันมาก) แต่ตัวเกมจะบอกเล่าปูมหลังต่างๆ ผ่านการทำไซด์เควสต์อันมีมากมายมหาศาลในเกมซึ่งล้วนแล้วแต่มีเนื้อหาน่าสนใจ ไม่มีไซด์เควสต์ไหนที่น่าเบื่อเลย ทุกเรื่องราวในเกมที่ Aloy ได้รับรู้ ผู้เล่นก็จะได้รับรู้ไปพร้อมๆ กับเธอ
ในระหว่างการดำเนินเรื่องนั้น บางสถานการณ์ตัวเกมจะมีให้เลือกบทสนทนาตอบโต้กับฝั่งตรงข้ามซึ่งจำแนกออกมาได้ 3 ประเภทหลักที่นำเสนอด้วยสัญลักษณ์เข้าใจง่าย นั่นคือ รูปกำปั้นที่ Aloy จะตอบกลับคู่สนทนาอย่างปะฉะดะตรงๆ ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม รูปสมองที่เธอจะโต้ตอบคู่สนทนาอย่างมีชั้นเชิงมีลูกล่อลูกชน และสุดท้ายคือรูปหัวใจที่เธอจะคุยกับคู่สนทนาอย่างเปิดใจ แม้ว่าสุดท้ายผลลัพธ์ของตัวเลือกจะไม่ต่างกันมากนักแต่ก็เป็นลูกเล่นที่ทำให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็น Aloy ได้อย่างดี
ตัวละครหลักของเกมอย่าง Aloy นั้น เรียกได้ว่ามีเสน่ห์อย่างมาก เธอเป็นสาวแกร่งที่พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ แต่ก็มีความอ่อนโยนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในหลายครั้ง เธอไม่ใคร่จะสนใจกฎเกณฑ์ของเผ่าแต่ทุกสิ่งที่ทำนั้นทำลงไปด้วยใจ อาจเพราะเธอเติบโตมาในฐานะ outcast แต่เล็กนั่นเองจึงหล่อหลอมให้เธอแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ หากเจอปัญหาเธอจะลงมือแก้ไขปัญหามากกว่านั่งสวดภาวนา หากเห็นคนเดือดร้อนต่อหน้าเธอก็ยินดีช่วยถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง เรียกได้ว่าเธอเป็นตัวแทนของความอิสระในโลกที่โดนตีกรอบด้วยความเชื่อและสถานะทางสังคมอย่างเข้มข้นก็ไม่ผิดนัก
กราฟิก
สำหรับเกมนี้แล้ว กราฟิกอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดขายจุดหนึ่งเลยก็ว่าได้ ภาพที่ปรากฏบนจอนั้นงดงามละเอียดลออ แสงเงาที่ทอดผ่านบนตัวละครยามวิ่งผ่านร่มเงาไม้เขียวชอุ่ม พื้นผิวหิมะที่หนานุ่ม ดินทรายสีแดงอันแห้งแล้ง ทั้งหมดนี้ล้วนนำเสนอออกมาได้อย่างดีเยี่ยม รายละเอียดเนื้อผ้าของตัวละครรวมถึงเส้นผมและสีหน้าท่าทางขณะพูดก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมเกินคาด
นอกจากสถานที่อันหลากหลายบรรยากาศข้างต้นแล้ว ในแต่ละพื้นที่จะมีสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ขณะเล่น หากคุณอยู่ในพื้นที่อันเป็นป่ารกชัฏ บางคราวอาจมีฝนตกกระหน่ำลงมาทำให้ทัศนวิสัยแย่ลง หรือในดินแดนทะเลทรายอันแห้งผากอาจต้องเจอกับพายุทรายที่ทำให้มองเบื้องหน้าตัวเองแทบไม่เห็น ฯลฯ สิ่งเหล่านี้นำเสนอออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเดินทางไปยังที่ต่างๆ จะมีร่องรอยอารยธรรมจากโลกเก่าให้เราเดินสำรวจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซากอาคารเก่า ซากยวดยานพาหนะ หรือแม้กระทั่งซากสนามกีฬาขนาดใหญ่ การได้ไปเยือนสถานที่ต่างๆ เหล่านี้แล้วนึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในโลกยุคเก่า (หรือก็คือยุคของเราๆ นี่ล่ะ) ก็ชวนให้ผู้เล่นเข้าถึงตัวเกมได้ไม่ยาก
ถึงอย่างนั้น แม้อารยธรรมยุคเก่าจะล่มสลายไป แต่โลกในเกมก็มีอารยธรรมยุคใหม่เข้ามาแทนที่อันจะทำให้ผู้เล่นและ Aloy ต้องตกตะลึง เพราะทันทีที่คุณย่างเท้าเข้าสู่เขตแดนของมหานคร Meridian แล้วคุณอาจจะต้องถึงกับหยุดยืนเพื่อชื่นชมสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ตรงหน้าเลยก็เป็นได้
มิหนำซ้ำ หากผู้เล่นรู้สึกว่ากราฟิกในเกมงามหยดย้อย หรือมีบางฉากที่เล่นได้เท่จนอยากเก็บไว้ เกมนี้ก็มี Photo Mode ให้เราเลือกเก็บภาพประทับใจเอาไว้และมีฟิลเตอร์ต่างๆ ให้เลือกสรรมากมายเหมือนอย่างที่ Uncharted 4 เคยทำไว้เป็นตัวอย่าง
เกมเพลย์
ในบางเกมนั้นจุดขายคือกราฟิกโดยแท้หากแต่ระบบการเล่นกลับธรรมดาเสียจนแทบไม่มีอะไรให้กล่าวถึง หากแต่ Horizon Zero Dawn กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะนอกจากกราฟิกที่งดงามแล้วเกมนี้มีระบบการเล่นที่ลึกซึ้งและหลากหลายในตัวเองมาก อีกทั้งการเล่นบน PS4 Pro นั้นทำให้เฟรมเรตวิ่งอย่างคงที่ 30FPS ตลอด ไม่มีการหน่วงหรือเฟรมตกแม้จะเกิดเอฟเฟคต์ตูมตามบนจอแค่ไหนก็ตามทีโดยไม่ลดทอนคุณภาพกราฟิกด้วย
รูปแบบการเล่นของเกมนี้เป็นเกมแอ็คชั่นที่เราจะต้องต่อกรกับบรรดาเครื่องจักรหลากหลายชนิดซึ่งล้วนแล้วแต่ลอกเลียนรูปแบบรวมถึงพฤติกรรมมาจากสัตว์จริงๆ การจะต่อกรกับพวกมันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของพวกมัน การใช้ระบบ Focus เพื่อส่องหาจุดอ่อนและโจมตีตรงจุดนั้นมีความสำคัญยิ่งยวดในการเอาชนะเครื่องจักรแต่ละชนิด ซึ่งผู้เล่นก็สามารถเลือกได้ว่าในการกำจัดพวกมันเราจะเข้าหาแบบไหน จะใช้ระบบลอบเร้นของเกมซุ่มเงียบรอจังหวะแล้วโจมตีหรือจะให้ลูกธนูเป็นตัวเบิกทางแล้วเผชิญหน้าก็สุดแท้แต่ใจสมัคร (แน่นอน เราสามารถวางกับดักไว้ล่วงหน้าแล้วล่อให้มันพุ่งเข้าใส่มาเหยียบกับดักเราก็เป็นวิธีที่ไม่เลว) สิ่งที่ต้องกล่าวถึงอีกอย่างหนึ่งคือระบบการเลือกโจมตีชิ้นส่วนของเครื่องจักรนี่เอง เพราะการที่เราสามารถทำลายชิ้นส่วนบางชิ้นของมันไปได้จะส่งผลกับการต่อสู้อย่างมหาศาล หากคุณยิงธนูไฟเข้าใส่กระบอกเชื้อเพลิงของมัน เพียงครู่เดียวก็จะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงต่อบริเวณโดยรอบและอาจทำให้เราชนะได้เลยในทันที หรือถ้าเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่เราก็สามารถทำลายชิ้นส่วนอาวุธของมันแล้วหยิบขึ้นมาใช้สู้กับมันเลยก็ได้เช่นกัน
กลเม็ดของเกมอีกอย่างหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือการ override ระบบของเครื่องจักรเพื่อดึงมันมาเป็นพวกเรา แน่นอนว่าในทีแรกเราจะยังไม่สามารถดึงเครื่องจักรมาเป็นพวกได้ทุกชนิด หากแต่เมื่อเราสามารถเคลียร์ดันเจี้ยนพิเศษที่เรียกว่า Cauldron ลงได้ในแต่ละครั้ง เราก็จะได้ความสามารถในการ override เครื่องจักรได้หลากหลายชนิดขึ้น โดยที่ประโยชน์ก็จะแตกต่างกันไป บางชนิดเราจะสามารถขึ้นขี่ได้ทำให้เดินทางได้รวดเร็วขึ้น บางชนิดก็จะช่วยเราต่อสู้กับเครื่องจักรอื่น จะขนาดเล็กพอๆ กับเราหรือขนาดใหญ่เท่าบ้านก็สามารถดึงมาเป็นพวกได้หมด ซึ่งสำหรับใครที่อยากได้บรรยากาศแบบไซไฟล้วนๆ ขอให้แนะนำลงดันเจี้ยน Cauldron แล้วคุณจะได้ตามที่ปรารถนา
นอกเหนือไปจากศัตรูที่เป็นเครื่องจักรแล้ว ในเกมนี้ยังมีศัตรูที่เป็นคนด้วยกัน หากแต่การต่อกรกับคนนั้นจะค่อนข้างง่ายดายกว่าเพราะไม่จำเป็นต้องวางแผนในการสู้ล่วงหน้าเหมือนเครื่องจักรเท่าไหร่นัก ถึงอย่างนั้นแม้ว่าคนจะเปราะบางกว่าเครื่องจักรก็ตาม สิ่งที่มาชดเชยก็คือจำนวนนั่นเอง ดังนั้นการต้องต่อกรกับคนในแต่ละครั้งวิธีที่ดีที่สุดก็คือการซุ่มเงียบแล้วหาโอกาสจัดการทีละคน เพราะหากว่ามีใครคนหนึ่งพบตัวเราเมื่อไหร่คนอื่นๆ ก็จะกรูกันมาทันทีและการโดนรุมยิงด้วยธนูหรือปืนกลอัตโนมัตินั้นไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ ด้วยเหตุนี้การบุกถล่มป้อมค่ายในแต่ละครั้งจึงให้อารมณ์เกือบจะเป็นเกมลอบเร้นเต็มตัวทีเดียว
เกมนี้มีระบบ exp และเลเวลประหนึ่งเกม RPG ทั่วไป โดยทุกครั้งที่เรากำจัดศัตรูหรือสามารถเคลียร์เควสต์ได้ ก็จะได้ exp มา หากเลเวลอัพเมื่อไหร่ก็จะได้ค่าสกิลเพื่อนำไปปลดล็อคความสามารถใหม่ๆ ให้เราทำอะไรได้หลากหลายและง่ายดายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพิ่มความแรงของการโจมตีประชิด สกิลที่ทำให้เสียงวิ่งของเราเบาลง หรือสกิลที่ทำให้เราสามารถเก็บสมุนไพรสำรองได้มากขึ้น ไม่มีสกิลไหนที่จะไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน
อาวุธในเกมมีให้เลือกใช้มากมายหลายชนิด และแน่นอนว่าการเลือกใช้ให้ถูกสถานการณ์ก็จะช่วยให้การเล่นของเราง่ายขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นธนูที่เปรียบเสมือนอาวุธหลักของเรา หรือ Blast Sling ที่ใช้ยิงลูกระเบิดหลากชนิดเข้าใส่เป้าหมาย แม้กระทั่ง Ropecaster ที่ใช้ยิงเชือกเพื่อตรึงเป้าหมายให้อยู่กับที่เปิดโอกาสให้เราโจมตี ผู้เล่นสามารถเลือกอาวุธที่เหมาะกับตัวเองผสมผสานได้ตามใจชอบ แม้กระทั่งอาวุธชิ้นเดียวก็ยังมีกระสุนหลากประเภทให้เลือกใช้ตามสถานการณ์ และสำหรับชุดต่างๆ ในเกมที่มีให้เราใส่ก็จะมีค่าความทนทานในแต่ละด้านต่างกันไป ชุดหนึ่งอาจมีความทนทานน้ำแข็งเป็นพิเศษ ในขณะที่อีกชุดหนึ่งอาจมีความทนทานไฟมากเป็นพิเศษ การเปลี่ยนชุดให้เหมาะกับเป้าหมายที่เราจะต่อกรด้วยก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการต่อสู้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธและชุดเกราะของเราสามารถใส่อุปกรณ์เพื่อปรับแต่งค่าพลังได้โดยอิสระอีกด้วย
เกมนี้มีระบบอัพเกรดกระเป๋าบรรจุลูกธนู (และกระสุนอื่นๆ) เฉกเช่นเดียวกันกับเกมอย่าง Far Cry ซึ่งการที่เราจะอัพเกรดอะไรซักอย่างจะต้องมีวัตถุดิบตามที่เกมกำหนด อาทิเช่น หนังหมูป่า หนังแรคคูน เป็นต้น แค่การตระเวนหาวัตถุดิบมาอัพเกรดกระเป๋าเหล่านี้ก็อาจทำให้ผู้เล่นเพลินจนไม่ต้องทำอะไรแล้วก็เป็นได้
และด้วยความที่เกมนี้เป็น open world จึงทำให้สามารถใส่อะไรมากมายเข้ามาให้ได้ค้นหา แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชมจากใจจริงก็คือไซด์เควสต์ของเกม อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าไซด์เควสต์เกมนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจและไม่น่าเบื่อ ซ้ำยังช่วยให้เรารู้ปูมหลังของเกมและโลกของเกมได้ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งจำนวนของไซด์เควสต์นั้นก็มากมายมหาศาลจนอาจทำให้ผู้เล่นลืมที่จะไปเนื้อเรื่องหลักเลยก็เป็นได้ และหลายครั้งที่ไซด์เควสต์นี่เองที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เล่นลองเดินทางไปยังพื้นที่ที่ไม่คิดจะไป ซึ่งบ่อยครั้งที่เมื่อไปเคลียร์ไซด์เควสต์นึงเรียบร้อยก็จะเจอกับไซด์เควสต์อีก 2-3 เควสต์เพิ่มขึ้นมาทันทีเช่นกัน จึงทำให้ทุกสถานที่ในเกมมีเป้าหมายให้ผู้เล่นสำรวจหมด ไม่มีสถานที่ใดที่ถูกทิ้งไว้โดยเปล่าประโยชน์เลย
เพลงประกอบและเสียงพากย์
ด้านเพลงประกอบของเกมทำออกมาได้อย่างไพเราะ ยามต้องต่อสู้กับเครื่องจักรดนตรีก็จะเร่งเร้ากระพือเสมือนกลองศึกของชนเผ่ากำลังระรัวข้างหู ยามเดินเข้าเมืองก็สงบเงียบสบายหู และเมื่อเดินท่ามกลางโลกกว้างบทเพลงก็ชวนให้รู้สึกถึงความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างดี
เสียงพากย์ของตัวละครล้วนแล้วแต่พูดจารับส่งกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ บทพูดไหลลื่นไม่มีสะดุด บุคลิกลักษณะของแต่ละตัวละครเห็นเด่นชัดได้จากน้ำเสียงและบทพูด ทั้งหมดต่างช่วยให้ผู้เล่นรับรู้และเข้าถึงเหตุการณ์ในเกมได้อย่างดีเยี่ยม ฉากสะเทือนอารมณ์ทำออกมาได้อย่างเลิศเลอส่วนหนึ่งก็เพราะเสียงพากย์และบทพูดนี่เอง และเมื่อผนวกเข้ากับดนตรีประกอบจึงส่งผลทวีคูณขึ้นไปกว่าเดิม
สรุป
Horizon Zero Dawn ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่ Guerilla Games สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างเกินความคาดหมาย แทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี่เป็นผลงานจากทีมพัฒนาที่เคยทำแต่เกม First Person Shooting อย่างซีรีส์ Killzone เพราะตัวเกมทำออกมาได้คุณภาพสูงในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นกราฟิก ระบบการเล่น เนื้อหาที่นำเสนอ นับจากนี้ไป Guerilla Games อาจสามารถขึ้นมายืนเคียงข้างกับสตูดิโอใต้สังกัดของ SIE อย่าง Naughty Dog ก็เป็นได้
หากคุณกำลังมองหาเกมที่กราฟิกงดงาม ระบบการเล่นที่สนุก เนื้อหาที่ชวนติดตาม และมีอะไรให้ทำมากมายจนคุ้มค่า Horizon Zero Dawn คือคำตอบที่คุณต้องการครับ
คะแนน 5 ⁄ 5
