‘ทองเอก’ยุค 2019 ว่าที่หมอเพื่อชุมชน : สดจากเยาวชน

‘ทองเอก’ยุค 2019 ว่าที่หมอเพื่อชุมชน – จากเรื่องราวละคร “ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง” ละครดังที่เพิ่งจบไป นอกเหนือจากความสนุกสนานแล้วเรื่องราวของทองเอกยังสะท้อนชีวิตของตัวละครนำซึ่งไม่ได้เป็นหมอยาที่เก่งอย่างเดียว

แต่ยังตั้งใจมุ่งมั่นอยากนำความรู้ที่ตัวเองมีอยู่ไปช่วยเหลือชุมชน

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ร่วมถ่ายทอดปณิธาน “ส่งต่อการให้” หรือ Pay It Forward สู่นักศึกษาแพทย์และเภสัชกรจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศที่ได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิ โดยมีตัวอย่างหมอทองเอก ในยุค 2019 ที่นอกจากจะเป็นว่าที่คุณหมอแล้ว ยังเป็นนักคิดและ นักประดิษฐ์เพื่อคุณภาพชีวิตผู้คนและสังคมไทย

นายณฐนนท์ พยุงศักดิ์สกุล หรือ ไนซ์ นักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ปีที่ 3 มหาวิทยาลัยบูรพา หนึ่งในนักเรียนทุนเผยว่า มีโอกาสทำกิจกรรมโดยเป็นอาสาสมัครลงพื้นที่ชุมชน ช่วยคัดกรองผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดัน ชาวบ้านและผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในการลงพื้นที่เขาสามมุข จ.ชลบุรี ชาวบ้านจำนวนมากมีอาชีพแกะหอยขาย ต้องนั่งแกะหอยนานหลายชั่วโมงติดต่อกันทั้งวัน ทำให้ร่างกายมีค่า BMI (ค่าดัชนีชี้วัดความสมดุลของน้ำหนักตัวและส่วนสูง) เกินค่ามาตรฐาน เนื่องจากขาดการออกกำลังกาย

จึงจัดทำโครงการ “ห่วงใย ไร้พุง” ร่วมกับเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน รณรงค์ชาวบ้านและ ผู้สูงอายุในพื้นที่ชุมชนเขาสามมุขมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มี ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการกว่า 50 คน ยิ่งทำให้เรามีกำลังใจและแรงบันดาลใจสร้างประโยชน์ให้คนในชุมชนต่อไป

ด้าน นายพงศ์พันธุ์ ไมตรีอโนทัย หรือ เพื่อน นักศึกษาสำนักวิชาแพทยศาสตร์ ปี 5 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เล่าว่า มีโอกาสลงพื้นที่ทำกิจกรรมในชุมชนหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมในพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย การไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยจิตเวช การลงพื้นที่ดอยแม่ฟ้าหลวงและดอยแม่สลองนอก ฯลฯ เห็นถึงความยากลำบากของชาวบ้านที่ต้องเดินทางมาพบแพทย์ และยังพบเด็กอายุ 6-12 ปี ที่มีปัญหาเรื่องข้อติด แขนขาขยับลำบาก หากปล่อยทิ้งไว้นานจะเกิดภาวะพิการถาวร

“แม้ข้อจะติดแต่มือและนิ้วยังใช้งานได้ จึงอยากช่วยให้เยาวชนเหล่านั้นช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่านี้ เป็นที่มาของแนวคิดในการประดิษฐ์อุปกรณ์ช่วยการเคลื่อนไหว บริหารแขน ขา ควบคุมด้วยปุ่มง่ายๆ โดยนำผลงานประดิษฐ์ชิ้นนี้ส่งเข้าประกวดในวันนักประดิษฐ์ 2561 ได้รับรางวัลเหรียญเงิน จึงตั้งใจว่าน่าจะเป็นเรื่องดีไม่น้อยหากนำอุปกรณ์ดังกล่าวกลับขึ้นไปให้เด็กๆ บนดอยเหล่านั้นได้ใช้ประโยชน์จริงต่อไป

ตอนนี้เรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว มีโอกาสทำงานอยู่เวรนอกเวลาที่โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์กับโรงพยาบาลกลางสลับกัน โดยรับผิดชอบอยู่แผนกอายุรศาสตร์ พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการเป็นผู้สูงอายุ จึงตั้งใจว่าเมื่อจบอยากเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านออร์โธ ปิดิกส์ หรือสูตินรีเวช หรืออายุรศาสตร์เพื่อชุมชน” พงศ์พันธุ์กล่าว

แนน

ขณะที่ น.ส.รอฮานี เจะสมะแอ หรือ แนน อายุ 20 ปี นักศึกษาแพทย์ ปี 6 มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เล่าว่า การได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิตั้งแต่อยู่ปีที่ 1 จนถึงปีที่ 6 เอื้อโอกาสให้ได้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ สม่ำเสมอ เช่น ค่ายมหิดล เป็นกิจกรรมที่รวมนิสิตนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพจากหลายมหาวิทยาลัยร่วมทำกิจกรรมตอบแทนสังคม

รวมถึงการลงตรวจในพื้นที่ชุมชน นอกจากนั้นยังเคยทำกิจกรรมโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบลด้วยการเข้าไปช่วยโรงพยาบาลทำเแบบสำรวจสุขภาพผู้ป่วย

“กิจกรรมดังกล่าวสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองนำความรู้กลับไปพัฒนาต่อที่บ้านเกิดใน จ.ปัตตานี เพราะชาวบ้านหลายชุมชนในปัตตานียังขาดความรู้เกี่ยวกับโรคภัยต่างๆ อยู่มาก เนื่องจากไม่ค่อยอยากไปหาหมอ และไม่มีหมอมาให้ความรู้เรื่องสาธารณสุขที่ถูกต้อง ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่เมื่อป่วยก็จะหายารับประทานเอง

จึงตั้งใจว่าหลังจากเรียนจบจะกลับไปเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลจังหวัดปัตตานีก่อนในช่วงการเป็นแพทย์ intern ปี 1 และในปีที่ 2-3 จะมีสิทธิ์เลือกไปเป็นแพทย์โรงพยาบาลชุมชน จะสามารถจัดตั้งหน่วยแพทย์เพื่อลงตรวจในชุมชนบ้านเกิดใน จ.ปัตตานี

รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงคือ จ.นราธิวาส ได้ มูลนิธิปลูกฝังแนวคิด Pay It Forward – ส่งต่อการให้ เพื่อตอบแทนโอกาสที่เราได้รับมาด้วยการทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์คืนกลับสู่สังคม แม้จะจบการศึกษาไปแล้วแนวคิดนั้นจะยังอยู่ในใจของเราตลอดไป”

นักเรียนทุนมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งในจำนวน 306 คน ตลอดระยะเวลา 17 ปีของการมอบทุนการศึกษา มองเห็นคุณค่าการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างพึ่งพาอาศัยให้ความช่วยเหลือและมีความรับผิดชอบร่วมกัน