10ชาติกลาโหมอาเซียน ประสานมือแก้ปัญหาทุกมิติ ผันทะเลจีนใต้เป็นพลังสันติภาพ : หลากหลาย

10ชาติกลาโหมอาเซียน – รัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนผนึกกำลังร่วมกันสร้างความมั่นคงที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในภูมิภาค ภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงและมิตรภาพที่แน่นแฟ้น พร้อมให้ความสำคัญแก้ปัญหาในภูมิภาคทุกมิติ ด้วยวิธีสันติและกฎหมายระหว่างประเทศ

เป็นบทสรุปของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 13 (13th ASEAN Defence Ministers’ Meeting : ADMM) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมขึ้น ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และเลขาธิการอาเซียน เข้าร่วมประชุมด้วย

หลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.อ.ประวิตรขึ้นเวทีพร้อมด้วยรัฐมนตรีประเทศสมาชิก ได้แก่ ดะโต๊ะ ลิม จ๊อก ฮอย ในฐานะเลขาธิการอาเซียน พล.ต.ดะโต๊ะ ปาตูกา เชอรี ฮาจิ จากบรูไน พลเอกเตีย บันห์ จากกัมพูชา พล.อ.รามิซาร์ด ราชูดู จากอินโดนีเซีย ฮาจิ โมฮัมหมัด บิน ซาบู จากมาเลเซีย, พล.อ.จันสะหมอน จันยาลาด จากประเทศลาว, นายเดลฟิน ลอเรนซานา จากฟิลิปปินส์, ดร.เอิง เอ็ง เฮ็น จากสิงคโปร์ และ พล.ท.เส่ง วิน จากเมียนมา เพื่อลงนามในปฏิญญาร่วม และลงนามรับรองเอกสารความร่วมมือ เสร็จแล้วจึงเปิดการแถลงผลการประชุม

พล.อ.เตีย บันห์ จากกัมพูชา

ว่าการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 13 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการนั้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สมเกียรติ เป็นกันเอง โดยในที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันในการที่จะร่วมกันสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นในภูมิภาค ตามที่ไทยได้ชูประเด็นความมั่นคงที่ยั่งยืน มีการแลกเปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติ ใน หลากหลายด้าน หลายมิติ และได้มีการทบทวนประเด็น กิจกรรมที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เพื่อปรับปรุงให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิภาคและของโลก ในที่ประชุมมีการรับรองเอกสารความร่วมมือจำนวน 6 ฉบับ ได้แก่

1) การประเมินผลการปฏิบัติของความคิดริเริ่มในกรอบ ADMM

2) บทบาทของฝ่ายทหารอาเซียนในการสนับสนุนการบริหารจัดการชายแดน

3) การขยายโครงสร้างการสื่อสารโดยตรงของประเทศสมาชิกอาเซียนไปยังประเทศคู่เจรจา

4) ขอบเขตการปฏิบัติงานโครงการ ASEAN Our Eyes

5) การจัดตั้งกลไกการประชุมแพทย์ทหารอาเซียน

6) แนวทางปฏิบัติในการปฏิสัมพันธ์ทางทะเล

ซ้อมตรวจการณ์ทางทะเล จีน-อาเซียน / Getty Images

พร้อมกันนี้ ยังร่วมกันผลักดันการดำเนินนโยบายอื่นๆ ที่สำคัญ ที่เป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในภูมิภาค เช่น การแก้ไขปัญหา IUU Fishing ปัญหาการค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาค เป็นต้น ซึ่งสะท้อนถึงพัฒนา การและการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อความมั่นคงในภูมิภาค โดยประชาชนจะได้รับความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต การค้า การลงทุน และการเดินทางไปมาหาสู่กันที่ดีขึ้น รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมไปพร้อมกัน มุ่งแสวงหาความร่วมมือใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นและความเจริญรุ่งเรืองของอาเซียนให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีหารือระดับรัฐมนตรีกลาโหม เวทีเดียวในภูมิภาคถือเป็นกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคง เป็นที่ยอมรับในประชาคมระหว่างประเทศ ในการเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงของภูมิภาค ที่มีผลงานที่เป็นรูปธรรม เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยของการดำเนินชีวิตของประชาชนอาเซียน ทั้งด้านการกินอยู่, ด้านการค้าการลงทุน และการเดินทางไปมาหาสู่กัน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ หรือภาวะวิกฤตที่มีประสิทธิภาพ โดยสภาวะแวดล้อมที่มั่นคง ปลอดภัย เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกมิติของอาเซียน ให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน” พล.อ.ประวิตรแถลง

นอกจากนี้ แล้วยังได้กล่าวถึงการฝึกผสมทางทะเลระหว่างอาเซียนกับสหรัฐ โดยพล.อ.ประวิตรกล่าวว่า มีความสงสัยว่าการฝึกดังกล่าวจะส่งผล กระทบกับประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมอาเซียนเห็นว่าการฝึกผสมทางทะเลระหว่างอาเซียนกับสหรัฐในปีนี้ไม่ใช่การฝึกทางทะเลครั้งแรกระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา

เมื่อปีที่ผ่านมาอาเซียนฝึกทางทะเลในลักษณะเดียวกันกับสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางทหาร ที่สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและการปฏิบัติการร่วมทางทะเลกับประเทศคู่เจรจา ที่มีบทบาทด้านความมั่นคงที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน

“ขณะที่ปัญหาทะเลจีนใต้ ที่ประชุม ADMM ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีต่างๆ ในทะเลจีนใต้ และการจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งยืนยันถึงความสำคัญของการรักษาส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ ความปลอดภัยในการเดินเรือ และบินผ่านทะเลจีนใต้” พล.อ.ประวิตรกล่าว

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นพ้องถึงความจำเป็นที่จะต้อง เสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันเพื่อยับยั้งการ กระทบกระทั่งที่อาจทำให้สถานการณ์ซับซ้อนมากขึ้น ขณะเดียวกันการดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ค.ศ.1982 นอกจากนั้นที่ประชุมยังมุ่งมั่นให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์เพื่อปรับเปลี่ยนทะเลจีนใต้ให้เป็นพลังแห่งสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน

ส่วนประเด็นปัญหาสถานการณ์คาบสมุทรเกาหลี รองนายกรัฐมนตรีจากประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมกล่าวว่า ไทยยินดีต่อการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐกับผู้นำเกาหลีเหนือ ที่เขตปลอดทหาร บริเวณชายแดนของเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งการพบหารือของทั้ง 2 ประเทศสะท้อนถึงความตั้งใจของสหรัฐและเกาหลีเหนือที่จะกลับสู่กระบวนการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี เพื่อบรรลุเป้าหมายในการทำให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์ จึงนับเป็นพัฒนาการเชิงบวกของการแก้ปัญหาสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี

หลังการแถลง เจ้าหน้าที่ผู้จัดการประชุมเปิดให้สื่อมวลชนซักถาม ซึ่งส่วนมากแล้วยังเป็นเรื่องของความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกัน รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาคระหว่างอาเซียนและประเทศมหาอำนาจ อย่างไรก็ดี พล.อ.ประวิตรในฐานะหัวหน้าการประชุมกล่าวเน้นย้ำว่าที่ประชุมอาเซียนได้หารือบทบาทของฝ่ายทหารในการสนับสนุนการบริหารจัดการด้านชายแดน เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและสร้างความตระหนักรู้ รวมถึงผลกระทบจากภัยคุกคามด้านชายแดน

“ที่สำคัญคือแนวทางการสื่อและกลไกที่ดีของอาเซียนจะช่วยสนับสนุนให้ชายแดนอาเซียนมีความเข้มแข็ง รวมไปถึงความร่วมมือในกรอบเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจา คือการขยายระบบโครงสร้างการติดต่อสื่อสารโดยตรงอาเซียนไปยังประเทศคู่เจรจาอีก 8 ประเทศ ซึ่งจะเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารเพื่อแก้ปัญหาในยามวิกฤตในภูมิภาค”

ชูชาติ แก้วเก่า