สัมผัสอารยธรรม‘ภูฏาน’เสน่ห์ในอ้อมกอดหิมาลัย : หลาก&หลาย

สัมผัสอารยธรรม‘ภูฏาน – เมื่อสบโอกาสไปเยือนสวรรค์บนพื้นพิภพดินแดนในหุบเขาที่มีวัฒนธรรมประเพณีอันงดงามเป็นเอกลักษณ์ ที่ใครหลายคนต่างบอกว่ารวยความสงบ ทั้งยังถูกขนานนามว่าเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ต่อจากบรรทัดนี้เราจะพาไปตามรอย สัมผัสอารยธรรมแห่งประเทศภูฏานพร้อมๆ กัน

ช่วงปลายเดือนก.. ในฤดูใบไม้ร่วง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมประชุมคณะทำงานกับสภาการท่องเที่ยวภูฏาน ภายใต้บันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู เพื่อขยายช่องทางสร้างรายได้ท่องเที่ยวเพิ่มของทั้ง 2 ประเทศ อีกทั้งยังหารือถึงแนวทาง รูปแบบ และเป้าหมาย กำหนดเส้นทางการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกันเพื่อดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะ เช่น การท่องเที่ยวในเชิงศาสนา ให้มาท่องเที่ยวและใช้จ่ายในประเทศ

สนามบินนานาชาติพาโร

วิวระหว่างทางไปเมืองทิมพู

เมื่อกัปตันนำเครื่องบินมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติพาโร ภาพด้านนอกหน้าต่างฉายวิวทิวเขา ด้านล่างมองเห็นสีเหลืองอร่ามของทุ่งข้าว โดยสนามบินนี้ตั้งอยู่บนความสูง 5,500 เมตรต่อระดับน้ำทะเล อยู่ใจกลางหุบเขา และมีรันเวย์เดียวยาวประมาณ 2 .. จึงต้องคัดเลือกนักบินและมีการรับรองเป็นพิเศษ ด้วยภูมิทัศน์บริเวณสนามบิน จึงไม่มีไฟลต์บินหลังพระอาทิตย์ตกดินเลย

สำหรับการเข้าดินแดนนี้หากไม่ได้เป็นประชาชนของประเทศบังกลาเทศ อินเดีย หรือมัลดีฟส์ จำเป็นต้องมีวีซ่า โดยรัฐบาลภูฏานกำหนดให้นักท่องเที่ยวต้องจ่ายค่าธรรมเนียมซึ่งมีอัตราอยู่ที่ 200-250 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคนต่อวัน

สัมผัสอารยธรรม‘ภูฏาน’

บรรยากาศเมืองทิมพู

สัมผัสอารยธรรม‘ภูฏาน’

เมืองพูนาคา

จุดหมายแรกคือเมืองทิมพู เป็นเมืองหลวงของประเทศ เพื่อไปสักการะหลวงพ่อสัจธรรม ประดิษฐานอยู่บริเวณเชิงเขา สถานที่แห่งนี้เรียกว่าบุดดาพอยต์มีองค์พระพุทธรูปสูงถึง 169 ฟุต ถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก และยังตั้งอยู่บริเวณที่สูงที่สุดในโลกด้วย ซึ่งภายในบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็กกว่า 1,000 องค์

น่าเสียดายที่ไม่สามารถเก็บภาพเป็นที่ระลึกได้ เพราะกฎระเบียบที่นี่ค่อนข้างเคร่งครัด ทุกวัดห้ามถ่ายภาพภายในตัวอาคารโดยเด็ดขาด รวมทั้งร้านขายของฝากบางร้านด้วย

เสน่ห์อีกอย่างคือ ประชาชนที่นี่จะแต่งกายด้วยชุดประจำชาติกันเป็นปกติทุกวัน และเป็นประเทศที่มีขนาดเล็ก มีพื้นที่ใกล้เคียงกับ 5 จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย ตั้งอยู่ในแทบเทือกเขาหิมาลัยระหว่างประเทศอินเดียกับจีน

สัมผัสอารยธรรม‘ภูฏาน’

เมโมเรียลโชเตน สถูปอนุสรณ์

หลวงพ่อสัจธรรม ที่บุดดาพอยต์

เดินทางต่อมาไม่ไกลนักก็ถึงเมโมเรียลโชเตน สถูปอนุสรณ์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองทิมพู สร้างขึ้นเพื่อถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ดอร์จิ วังชุก พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 3 ของภูฏาน

เมื่อได้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้จะสัมผัสได้ว่าศาสนามีบทบาทในชีวิตของชาวภูฏานค่อนข้างเยอะ โดยจะเห็นชาวภูฏาน เดินวนรอบสถูป พร้อมกับสวดมนต์ นั่งนับสายประคำ แกว่งกงล้อ และก้มลงกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ให้อวัยวะทั้ง 8 สัมผัสราบกับพื้น เป็นประจำทุกวัน

สัมผัสอารยธรรม‘ภูฏาน’

ม้าชอบเดินชิดหน้าผาให้คนนั่งเสียวสันหลัง

ดินแดนในอ้อมกอดหิมาลัย มีหมอกจางๆ ลอยละล่องอยู่บนยอดเขาสูงให้เห็นทุกเช้า โดยประเทศนี้มากไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ จึงมีออกซิเจนมากกว่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้มีอากาศบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

หลังจากยืนสูดอากาศจนฉ่ำปอดแล้วจึงออกเดินทางไปยังมณฑลพูนาคา เป็นเมืองหลวงเก่า ระหว่างทางได้แวะที่โดชูล่าจุดชมวิวสูงสุดบนเส้นทาง จะมีสถูปขนาดใหญ่จะอยู่บนสุดและสถูปขนาดเล็กๆ อีก 108 องค์อยู่รายล้อมตั้งลดหลั่นกันลงมา โดยเป็นอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงทหารที่เสียชีวิตในสงครามผู้ก่อการร้ายอินเดียที่คุกคามภูฏาน

จุดชมวิวโดชูล่า

บริเวณตรงนี้จะมีเมฆหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี เนื่องด้วยระดับความสูง 3,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล หากวันใดที่อากาศแจ่มใสท้องฟ้าโปร่งจะมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยที่นี่มีคาเฟ่เล็กๆ ไว้บริการอาหารและเครื่องดื่มด้วย

บนถนนลัดเลาะไหล่เขาไปตามทางนั้นไม่สามารถหลับลงได้ เพราะทัศนียภาพระหว่างทางอยู่ห่างไกลจากคำว่าน่าเบื่อเหลือเกิน วิวทิวทัศน์ทำให้คนที่ได้มาครั้งแรกไม่อยากละสายตาเลย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาเขียวขจี ก้อนเมฆสีขาวนวล ทุ่งนา และแม่น้ำที่ไหลเป็นทางยาว

ภายในวัดชิมิลาคัง

เณรที่วัดชิมิลาคัง

มาต่อกันที่วัดชิมิลาคังตั้งอยู่บนเนินเขาที่เมืองพูนาคา มีความเชื่อว่าวัดแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เรื่องการขอคู่ครองและ ขอลูก โดยสร้างถวายแด่ท่านดรุกปา คิลเลย์มีฉายาว่าคนบ้า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอารมณ์ขัน

ตามตำนานเล่าว่า ท่านมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากพระลามะทั่วไป มีวิธีการสอนธรรมะที่แปลกแบบสุดโต่งอย่างคาดไม่ถึงคือการใช้แอลกอฮอล์ ยาเสพติด บทกวีแบบทะลึ่งตึงตัง และการร่วมเพศ แต่แฝงปริศนาธรรมแบบง่ายๆ ที่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจ ถึงเนื้อแท้แห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า

วัดทักซัง

ทางขึ้นเขาไปวัดทักซัง

บันไดลงมาวัดทักซัง

จุดเบสแคมป์ระหว่างทางขึ้นวัดทักซัง

ร้านอาหารจุดเบสแคมป์ทักซัง

ที่ประเทศนี้ยังมีไฮไลต์สวยเด็ดที่ทุกคนต้องมาสัมผัสการเดินขึ้นเขาไปวัดทักซังหรืออีกชื่อคือวัดรังเสือตั้งอยู่บนหน้าผาสูง 900 เมตร ในเขตเมืองพาโร เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีชื่อเสียงระดับโลก หากใครไม่ไปถือว่ามาไม่ถึงภูฏาน ความสวยงามของวัดอยู่ท่ามกลางภูเขาสวยและท้องฟ้าสีสดใส ย้ำว่าวิวระหว่างทางสวยงามมาก

ระยะทางเดินขึ้นกว่า 3 กิโลเมตร ด้านล่างจะมีม้าไว้ให้บริการ ราคาตัวละ 860 งุลตรัม เป็นเงินไทยประมาณ 430 บาท การขี่ม้าขึ้นจะช่วยผ่อนแรงและประหยัดเวลาได้ค่อนข้างมาก แต่ม้าจะไปส่งแค่ครึ่งทางตรงเบสแคมป์เท่านั้น ที่เหลือต้องเดินเท้าต่อ และขากลับต้องเดินลงมาเอง ไม่มีม้าคอยมารับ

บางจังหวะม้าก็ทำเอาเสียวแวบ ทางเดินตั้งกว้าง แต่ม้าก็ชอบเดินชิดขอบหน้าผาให้ใจหายใจคว่ำ จุดเด่นของม้าสายพันธุ์นี้คือ นิยมเดินมากกว่าวิ่ง ฉลาด ไม่แตกแถว

ที่สำคัญควรซื้อไม้เท้าขึ้นไปด้วยเพื่อช่วยพยุงร่างกายเวลาเดินเท้า แต่เส้นทางไม่โหดอย่างที่คิด มีทั้งทางราบและทางชันสลับ กันไป

ระยะทางจะแบ่งเป็น 3 ช่วง จากจุดด้านล่างถึงเบสแคมป์ ระยะทาง 1 .. สามารถพักเข้าห้องน้ำและดื่มน้ำ ทานอาหารได้ที่ร้านคาเฟ่เล็กๆ จากนั้นเดินเท้าต่อจนถึงจุดชมวิว ระยะทาง 2 .. ช่วงสุดท้าย เป็นบันไดลง 400 ขั้น และขึ้น 300 ขั้น

ก่อนเข้าไปด้านในวัดทักซังจะมีจุดบริการให้ฝากของ ห้ามนำกล้อง มือถือ หมวก แว่นตา กระเป๋าต่างๆ ฯลฯ เข้าไปภายในเด็ดขาด อนุญาตแค่เงินสำหรับทำบุญเท่านั้น

ที่นี่มีประวัติความเป็นมาอันแสนยาว ขอเล่าสั้นๆ ให้ฟังว่าท่านกุรุรินโปเชผู้นำศาสนาพุทธชาวทิเบตขี่นางเสือตัวหนึ่งเหาะมาจากทางภาคตะวันออกของประเทศ มาบำเพ็ญญาณในถ้ำของวัด 3 เดือน จึงออกมาเพื่อแสดงธรรมแก่ชาวบ้านจนเป็นที่เลื่อมใส ต่อมาถ้ำนี้กลายเป็นสถานที่สำหรับการเจริญสมาธิและบำเพ็ญเพียร

เป็นอีกหนึ่งประเทศที่สวยตั้งแต่ท้องฟ้ายันพื้นดิน งามวิจิตรตั้งแต่สนามบินยันตัวเมือง และยังสามารถเที่ยวได้ทุกฤดู สภาพอากาศที่นี่เย็นตลอดทั้งปี เชื่อว่าคงเป็นประเทศในฝันของใครหลายๆ คน

สุพันนิกา พรหมมา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน