เรื่องญี่ปุ่นต้องกรุงศรีช็อปสุดคุ้มกับคนรู้จริง
เรื่องญี่ปุ่นต้องกรุงศรี – เข้าสู่เดือน พ.ย.ของทุกปี เจแปนแดนอาทิตย์อุทัย อยู่ในฤดูใบไม้ร่วงพอดี อากาศกำลังเย็นสบาย ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการท่องเที่ยว
การเดินทางครั้งนี้แม้จะเป็นเพียงทริปสั้นๆ 4 วัน 2 คืน แต่ไปกับคนรู้จริง “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในธุรกิจของ มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชี่ยล กรุ๊ป หรือ MUFG สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ที่จะพาไปสัมผัสประสบการณ์ จ่ายเงินช็อปปิ้งตึกม่วง–ทาเคยะ แหล่งช็อปปิ้งสุดฮิตของคนไทยในย่านอุเอโนะ แบบไม่ต้องพกเงินสด
เพียงแค่มีมือถือพร้อมอินเตอร์เน็ต และโหลดแอพพลิเคชั่น KMA หรือกรุงศรี โมบาย แอพพลิเคชั่น พร้อมชำระค่าสินค้าโดยสแกนจ่ายเงินผ่าน คิวอาร์โค้ด รับส่วนลดทันที 5% สำหรับทุกยอดการใช้จ่ายตั้งแต่ 5,000 เยนขึ้นไป หรือราว 1,500 บาท ทั้งยังได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) 10% เพิ่มความสะดวกสบาย ลดขั้นตอนและประหยัดเวลาในการเข้าคิวทำเรื่องขอคืนแวต
ที่สำคัญยอดชำระเงินจะถูกคำนวณออกมาเป็นสกุลเงินบาท และตัดจากบัญชีออมทรัพย์ของเราทันที
ส่วนผู้ที่มีโมบายแอพพลิเคชั่นของธนาคารที่ร่วมโครงการ อีก 3 ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ก็สามารถชำระเงินโดยคิวอาร์โค้ด ได้เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้รับส่วนลด 5%
สำหรับทาเคยะ หรือคนไทยคุ้นหูว่าตึกม่วง เนื่องจากตัวอาคารถูกทาสีม่วงทำให้ โดดเด่น เป็นดิสเคานต์
สโตร์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น และมีสินค้าจำหน่ายมากกว่า 2 แสนรายการ ปัจจุบันมีลูกค้าชาวต่างชาติ มาเยี่ยมชมกว่าแสนคนต่อปี
อาคารศูนย์การค้าจำแนกสินค้าประเภทต่างๆ ได้ 8 อาคาร ส่วนใหญ่จะหยุดแค่ตึก A ก็หมดเวลาแล้ว อาคารเล็กๆ แต่มีทั้งหมด 9 ชั้น ไล่ตั้งแต่ชั้น 1 และ 2 เป็นสินค้าอุปโภค–บริโภค และสินค้า ความงาม ส่วนชั้น 3 เป็นสินค้ากระเป๋าแบรนด์เนมชั้นนำ นาฬิกา แว่นตากันแดด แบรนด์หรูจากยุโรปและอเมริกา
สำหรับชั้นที่ 4 เป็นนาฬิกาข้อมือแบรนด์ญี่ปุ่น และตั้งแต่ชั้นที่ 5-9 เป็นเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า กระติกน้ำสแตนเลส เครื่องโกนหนวด เป็นต้น
ปัจจุบันตึกม่วง เล็งเห็นว่าคนไทยเป็นหนึ่งในลูกค้าคนสำคัญ เพราะยอดคนไทยไปเยือนแต่ละปีไม่น้อยกว่า 50,000 คน มากที่สุดเมื่อเทียบกับต่างชาติด้วยกัน ในขณะที่คนจีนแม้จะเป็นรองเราในแง่ของจำนวนคน แต่ยอดช็อปปิ้ง ถือได้ว่าเป็นท็อปสเปนเดอร์ ยอดซื้อสินค้าสูงสุดของตึกม่วง
ดังนั้นไม่ว่าคนไทยหรือคนจีน ที่ไปที่นี่ หายห่วงเรื่องการสื่อสารกับคนญี่ปุ่น เพราะนอกจากจะมีแผ่นพับที่บอกผังสินค้าในแต่ละอาคารเป็นภาษาไทยและภาษาจีนแล้ว ยังมีพนักงานคนไทย และคนจีน คอยให้บริการด้วย แต่ราคาสินค้าจะมีบางรายการเท่านั้นถูกกว่าร้านอื่นๆ ทั่วญี่ปุ่น แล้วแต่โปรโมชั่นในแต่ละช่วง แต่รับรองว่าได้ครบ
สำหรับการเดินทาง ถ้าขึ้นรถไฟ JR สายยามาโนเตะ ให้ลง ที่สถานีโอคาชิมาจิ (ทางออกด้านเหนือ) เดิน 2 นาที ส่วนรถไฟใต้ดินสายฮิบิยะ ลงที่สถานีนะคะ–โอคาชิ มาจิ ทางออก 3 ถึงหน้าร้านทันที ลงรถไฟใต้ดินสายโอเอโดะ ให้ลงที่สถานี อูเอโนะ–โอคาชิมาจิ เดิน 3 นาที และรถไฟใต้ดินสายกินซ่า ให้ลงที่สถานี อูเอโนะ–ฮิโรโคจิ เดิน 5 นาที
วันแรกเจอฝนท้ายฤดูพรำทั้งวัน ทำให้รุ่งขึ้นอีกวันอากาศเย็นลงไปอีกหน่อยต่ำสุด 13-15 องศา สูงสุด 23 องศา สบายๆ เราเดินทางไปศาลเจ้าเมจิ ศาลเจ้าเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพของคนญี่ปุ่น สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิเมจิ และมเหสีโซโกะ โดยสร้างเสร็จในปี 2463 ตั้งอยู่ใจกลางสวนโยโยงิ หนึ่งในสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโตเกียว
จักรพรรดิเมจิ เป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 122 ของญี่ปุ่น (ปัจจุบันเป็นรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ เป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 126) ครองราชย์ด้วยพระชนมายุเพียง 14 พรรษา ในรัชสมัยพระองค์ทรงตัดสินใจย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตไปยังนครเอโดะ และเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียวถึงปัจจุบัน
เสาโทริอิสูงใหญ่ หรือซุ้มประตูแบบญี่ปุ่น อยู่เบื้องหน้า ตั้งไว้เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ว่าอาณาเขตเบื้องหลังเสาโทริอินี้เป็นอาณาเขตของเทพเจ้า จึงเป็นศาลเจ้าที่ชาวญี่ปุ่นให้ความเคารพและมักมาสักการะขอพร โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ จะมีคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาที่ศาลเจ้ากว่า 3 ล้านคน นอกจากนั้นแล้วยังนิยมใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานแบบชินโตด้วย
ช่วงบ่ายหลังดูงานที่สำนักงานใหญ่ MUFG เสร็จแล้ว ก็เดินทางไปยัง EPSON teamLab Borderless พิพิธภัณฑ์ดิจิตอล ธีมปาร์กขนาดใหญ่ 10,000 ตร.ม. ในอาคาร Palette Town ย่านโอไดบะ เมืองโตเกียว เป็นดิจิตอลอาร์ตมิวเซียม แลนด์มาร์ก แห่งใหม่ของกรุงโตเกียว ที่รวบรวมงานศิลปะกว่า 50 ชิ้น นำมาจัดแสดงแบบไม่มีขอบเขต แต่ละห้องจะมีบรรยากาศและแสงสีที่แตกต่างกันออกไป เหมาะกับคนที่ชอบงานกราฟิกอาร์ต
ก่อนอำลาโตเกียว ได้แวะเยือนเมือง ซาวาระ ซึ่งถือเป็นการท่องเที่ยวเมืองรอง ที่มีเรื่องราวในอดีตเคยเป็นเมืองการค้าเก่าแก่สมัยเอโดะ โดยปัจจุบันยังคงหลงเหลือร่องรอยความเป็นย่านการค้าเก่าแก่ เนื่องจากรัฐบาลประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์สำคัญสำหรับกลุ่มอาคารแบบดั้งเดิม ที่ตั้งเรียงรายมาตั้งแต่สมัยคาชิโคตัง
กิจกรรมนอกจากเดินชมเมืองเก่าแล้ว การล่องเรือเพื่อชมบรรยากาศบ้านเรือน 2 ฝั่งคลอง โดยมีคุณตาคุมท้ายเรือ และมีสาวสวมชุดพื้นเมืองคล้ายซามูไรใส่หมวกฟางนั่งหัวเรือคอยให้จังหวะเราก้มหัวระหว่างผ่านสะพานข้ามคลอง ซึ่งบางช่วงจะเป็นสะพานเตี้ย ช่วงแรกๆ ก็ก้มกันสุดๆ แต่พอสะพานถัดไปให้ก้มอีก คนไทยอย่างเราหัวไม่สูงพอ แค่นั่งค้อมหลังนิดหน่อยก็พ้นแล้ว สร้างความสนุกสนานกันไป เราใช้เวลาล่องเรือไปกลับประมาณ 30 นาที
ถ้าใครมาเที่ยวเอง สามารถนั่งรถสกาย ฮอพบัส ซื้อบัตรเดียวนั่งทั่วโตเกียวเช้ายันเย็น จะได้ชมทัศนียภาพที่สวยงามของเมือง และมีการแวะจอดที่สถานที่ที่น่าสนใจต่างๆ ซึ่งสามารถลงเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
ก่อนเดินทางไปขึ้นเครื่องบินกลับไทย มาทานอาหารกลางวันที่ร้านคานิโชกุน นายพลปู ร้านชาบูขึ้นชื่อในย่านชิบะ เป็นหนึ่งในอีกหลายๆ ร้านยอดนิยมของโตเกียว อาทิ Red Lobsters ที่ให้สิทธิพิเศษส่วนลด 10% เพียงโชว์บัตรเครดิตกรุงศรี แต่ใช้ได้ภายใน 27 ธ.ค.นี้เท่านั้น หลังจากนี้ ต้องคอยติดตามว่าร้านยอดนิยมในญี่ปุ่นที่คนไทยไม่พลาด เตรียมทยอยร่วมแคมเปญกับกรุงศรีอีก
แม้จะเป็นทริปญี่ปุ่นสั้นๆ แต่ก็ฟินไปกับคนรู้จริงเรื่องญี่ปุ่นจริงๆ