คอลัมน์ ข่าวสด ย้อนละครดังวันวาน

อนงค์ จันทร เรื่อง

เคยสร้างภาคแรกและภาคสองไว้เมื่อหลายปีก่อน สำหรับ “สาวน้อยในตะเกียงแก้ว” พอมาภาค 3 ที่ใช้ชื่อว่า “อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว” บริษัท ดีด้า วิดีโอ โปรดักชั่น จำกัด ผู้สร้างการันตีว่าต้องทำให้ออกมาดีกว่าทั้ง 2 ภาคที่ผ่านมา

โดยภาค 3 ได้สาวใส ‘ใบเฟิร์น’พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ มารับบทแม่มดน้อย ‘แนนนี่’ ปะทะอสูรน้อย ‘ดารกา’ ที่รับบทโดยดาราสาว ‘ทับทิม’อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์ เชือดเฉือนแย่งพระเอกหนุ่ม ‘อ๊อฟ’ชนะพล สัตยา ที่รับบท ‘ภวัต’
3
ร่วมด้วย ‘เบเบ้’ธันย์ ชนก ฤทธินาคา, ‘เต็งหนึ่ง’ กฤษณกันท์ มณีผกาพันธ์, ธันวา สุริยจักร, ดวงดาว จารุจินดา, ‘หมวย’สุปรีย์ฎา คำนวณศิลป์ ฯลฯ

ทั้งนี้ ‘เป๊ะ’จรูญ ธรรมศิลป์ ผู้กำกับฯ เผยว่า “อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ภาคนี้ ต้องการให้มันออกมาดีกว่าภาคก่อน เพราะตัวละครพระ นางเปลี่ยนจากภาคก่อน แต่แม่มด ทาฮิร่า(ดวงดาว) กับ บาบาร่า(สุปรีย์ฎา) ยังเป็นนักแสดงคนเดิมเล่น ภาคนี้เราต้องทำงานหนักขึ้น เพราะต้องทำให้สนุกกว่าภาคเก่า”

“เรื่องนี้เทคนิคเยอะ เพราะละครเป็นแนวแฟนตาซี จุดขายคือเรื่องเทคนิคบวกกับใบเฟิร์น นางเอกใหม่ ที่ต้องเล่นบทแนนนี่ ออกมาให้น่ารักมากๆ แล้วตัวดารกา ก็ต้องเล่นให้เป็นนางเอกมากๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วร้าย”

“คือทั้งใบเฟิร์นและทับทิม ต้องตีบทแนนนี่และดารกา ให้ขาด แรกๆ ยาก เพราะนักแสดงกลัวเสียภาพพจน์ ผมก็บอกว่าไม่ต้องกลัว เพราะเราเล่นไปตามบท คนดูจะรู้เอง และจะยิ่งดีเมื่อคนดูเห็นว่าเราเล่นบทแบบนี้ได้ เพราะบทดารกาเป็นตัวรองอยู่แล้ว ต่อหน้าคนอื่นจะทำตัวเรียบร้อยน่ารัก แต่พอลับหลังจะร้าย”

ถามถึงความต่างของภาค 3 กับ 2 ภาคที่ผ่านมา ได้รับคำตอบว่า “ภาค 3 จะแตกต่างตรงที่มีตัวอสูรเพิ่ม เข้ามา แล้วตัวละครก็ต่างไม่รู้ที่มาการเกิดของตนว่าเป็นอย่างไร ช่วงหลังๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นลูกใคร ความรู้สึกจะเกิดขึ้นตอนนี้ว่าถึงจะโกรธจะเกลียดกันอย่างไร แต่คนที่เป็นพี่น้องสุดท้ายก็รักกัน”

กดดันไหม เพราะภาคก่อนๆ ประสบความสำเร็จ “กดดันเหมือนกัน เพราะภาคก่อนๆ ทำกันดี พอภาค 3 มันเปลี่ยนตัวพระนาง กดดันตรงที่ต้องมาทำความเข้าใจกับนักแสดง แรกๆ หลายเทกหน่อย ยิ่งใบเฟิร์นกับทับทิม โดยเฉพาะใบเฟิร์นไม่ค่อยได้เจอพี่ดาว เวลาเข้าฉากกับอาๆ เขาจะสั่น เราก็บอกไม่ต้องสั่น เขาเป็นครูบาอาจารย์ เราพยายามให้กำลังใจ หลังๆ ก็มีความกล้ามากขึ้นครับ”

ผู้กำกับฯ คนเดิมยังกล่าวถึงการแสดงของ 2 นางเอกสาว ‘ใบเฟิร์น’ และ ‘ทับทิม’ ว่า “กับตัวทับทิมเป็นคนเข้าใจง่าย เราก็บอกว่าต้องเล่นร้ายอย่างไร เวลาลับหลังตัวละครตัวนี้มันร้ายมาก ต้องเล่นตรงนี้ให้ได้ อย่าถือภาพพจน์ว่าเราเป็นคนสวย การเล่นบทแบบนี้ได้เท่ากับเป็นการบอกประชาชนว่าบทอย่างนี้ฉันก็เล่นได้ ผู้จัดจะได้เห็นความสามารถว่าเราเล่นได้หลายบท”

“ตอนแรกเขาไม่ค่อยยอมรับ แต่เราก็บอกว่าไม่ได้ ยังไงก็ต้องยอมรับ บทมาอย่างนี้แล้ว เราเล่นไปตามบทมันจะดีกับตัวเราเอง พอละครออกมาตัวทับทิมก็พอใจผลงานของตัวเองนะ บางฉากเขารู้สึกว่าเขายังเล่นไม่ได้ดี เขาขอถ่ายใหม่ เรายิ่งชอบ เราให้โอกาสหมด”

“ส่วนน้องใบเฟิร์นมาเจอผมเรื่องแรกก็สั่น เขากลัวพี่ดาว กลัวหมวย เราเลยบอกให้มานั่งคุยกันก่อน ให้ความสนิทสนม เรารักเขาเหมือนลูก คุยไปคุยมาเขาก็เข้าใจ แล้วพี่ดาวก็เป็นแอ๊กติ้งโค้ชคอยสอนให้ เขาก็สบายใจ เวลาเล่นตรงไหนที่ไม่เข้าใจเขาก็ถามตลอด”

ส่วนนักแสดงชายที่โดดเด่น ผู้กำกับฯแย้ม “จะเป็นบทพระเอกคือ ภวัต ที่เล่นโดย อ๊อฟ-ชนะพล ส่วนตัวบทที่เสริมเข้ามาคือ ธันวา เพื่อให้ละครมีรสชาติ ได้เห็นว่าเรื่องนี้มีพระเอกนางเอกหลายคนมาร่วมงาน และตัวธันวา ก็มีแฟนคลับเยอะ มีนักแสดงเยอะๆ จะได้มีสีสัน”

หลังละครออกอากาศ กระแสที่ได้รับเป็นที่น่าพอใจ แต่สิ่งที่ผู้กำกับฯ ยังไม่พอใจนั่นคือผลงานที่ออกมา “ผมอยากทำให้ดีกว่านี้โดยเฉพาะเรื่องเทคนิคซีจีที่อยากทำให้ดูอลังการสมจริง”

สุดท้ายผู้กำกับฯ เผยถึงสิ่งที่นำเสนอจากละครว่า “เรื่องของการทำดี เพราะหลังๆ จะนำเสนอเรื่องของคติ บางคนตั้งใจจะไปทำร้ายจะฆ่าคนอื่น แต่เมื่อเป็นคนก็จะมีคนอื่นคอยมาช่วยอยู่ตลอด อย่างตัวแม่ดารกา เป็นแม่ค้าขายปลา ทุบหัวปลามาตลอดมันบาป พอเขาคิดได้เขาก็ไปบวชเป็นชี และพอรู้ว่าลูกจะทำไม่ดีก็มานั่งสวดมนต์ทำให้ลูกสาวคิดได้ เรื่องนี้มันมีคติสอนคนดูอยู่แล้ว”

ติดตามชมความสนุกของ “อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว” นี้ได้ ทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ทางช่อง 7 เวลา 20.25 น.

4

ทำซีจีแมว’ไทเกอร์-ชิกเก้น’หืดขึ้นคอ

เป็นอีกเรื่องที่นำเทคนิคการทำ “คอมพิวเตอร์กราฟิก” หรือ ซีจี เข้ามาใส่ในละครค่อนข้างเยอะ สำหรับละครเรื่อง “อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว” โดยผู้กำกับฯ ‘เป๊ะ’จรูญ ธรรมศิลป์ เผยว่า “เรื่องนี้ต้องบอกว่าทำยาก เพราะเราต้องกำหนดภาพไปให้เขา แล้วเขาจะต้องทำเทคนิคให้เราให้ได้ เราต้องคุยกันก่อนตลอดเวลาทำงาน ถ้าไม่ได้คุยงานกันบนโต๊ะ ก็ต้องโทร.คุยกันกับฝ่ายเทคนิค”
2
ถามว่าอะไรยากที่สุดในเรื่อง ผู้กำกับฯ รุ่นใหญ่กล่าวว่า “เป็นพวกเทคนิค โดยเฉพาะตัวแมว ไทเกอร์ กับ ชิกเก้น เราเป็นคนกำหนดภาพไปให้เขา และตอนถ่ายเราก็ต้องอัดเสียงไปให้ ฝ่ายเทคนิคก็ต้องไปทำปากให้ตรงกับเสียงที่เราอัดไป ซึ่งมันยาก ในเรื่องนี้ต้องใช้เทคนิคแทบทั้งเรื่อง ใช้จนจบเรื่องเลย กว่าที่ตัวอสูรจะโผล่มา แล้วก็มีการสู้กันจนถึงใต้พิภพ เทคนิคเยอะอย่างนี้ทำให้รีบไม่ได้”

ถ่ายบลูสกรีนเยอะไหม “เยอะครับ เพราะมีฉากขี่ไม้กวาด มีหลายฉากที่ถ่ายกับบลูสกรีน มันก็มีปัญหาบ้าง บางทีถ่ายไปแล้วไม่ได้ ก็ต้องเรียกมาคุยก่อนจะกลับไปถ่ายใหม่ เวลาทำงานต้องคุยทั้งฝ่ายเทคนิคและนักแสดง ถ้าไม่คุยจะกำหนดภาพไม่ได้”

“ถ้าเราทำความเข้าใจกับบทให้ดี ฉากหนึ่งเราให้เวลาการทำซีจีประมาณครึ่งชั่วโมง ถือว่าเร็วมาก เพราะเราทำความเข้าใจกันก่อนทำงาน ซ้อมให้ตรงตามที่ต้องการก่อนถ่าย”

ภาคนี้เรียกว่าเน้นเทคนิคซีจี “ใช่ครับ อย่างตอนหลังพระเอกมีนั่งพรมด้วย คือเรื่องนี้นอกจากเรื่องเทค นิคแล้ว เราต้อง การให้ละครออกมาน่ารัก ไม่งั้นมันจะไม่มีจุดเด่น เพราะจุดเด่นของละครเรื่องนี้คือความน่ารักของตัวนางเอก”
5
สำหรับโลเกชั่นของละคร เป๊ะ-จรูญ แง้มว่า เรื่องนี้เป็นละครแนวแฟนตาซี มีเมืองแม่มด เราไปสร้างฉากที่ลาดหลุมแก้ว นอกนั้นโลเกชั่นที่ถ่ายจะเป็นบ้านนางเอกพระเอก ที่อยู่ในกรุงเทพฯ แล้วก็จะมีบ้านร้าง ส่วนใหญ่จะถ่ายบลูสกรีนเยอะ

“ส่วนเสื้อผ้าหน้าผมในภาค 3 นี้ ก็ยังคงเอกลักษณ์การแต่งตัวเหมือนกับภาค 1 และ 2” ผู้กำกับฯ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน