หุ่นยนต์ผู้ช่วยแพทย์อัจฉริยะนวัตกรรมรับสถานการณ์โควิด : รายงานพิเศษ

หุ่นยนต์ผู้ช่วยแพทย์อัจฉริยะ – อีกหนึ่งความก้าวหน้าทางการแพทย์ เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19

มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและบริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) จัดแถลง “ความสำคัญของเทคโนโลยีการใช้ หุ่นยนต์ทางการแพทย์ และนโยบายของมหาวิทยาลัยมหิดล ในการสนับสนุนการ ใช้ Robot ในสถานการณ์ปัจจุบัน” ที่ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ อาคารเฉลิมพระเกียรติ คณะเวชศาสตร์ เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล

หุ่นยนต์ผู้ช่วยแพทย์อัจฉริยะ

โดยมี ศ.นพ.บรรจง มไหสวริยะ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานการแถลง พร้อมด้วย ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะกรรมการวิชาการและเทคนิคเพื่อรองรับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19), ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

ผศ.นพ.วีระพงษ์ ภูมิรัตนประพิณ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน, รศ.นพ.ธีระ กลลดาเรืองไกร ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก และ นายพิชิต วิวัฒน์รุจิราพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน)

นอกจากนั้นยังได้มอบหุ่นยนต์ Hapybot หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัจฉริยะผู้ช่วยแพทย์ 3 ตัว เพื่อนำไปใช้งานจริงภายในโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล 3 แห่ง คือ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล

หุ่นยนต์ผู้ช่วยแพทย์อัจฉริยะ

สำหรับหุ่นยนต์ Hapybot หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัจฉริยะผู้ช่วยแพทย์ สามารถเคลื่อนไหว หรือเดินเร็วเทียบเท่ามนุษย์ โดยไม่ต้องมีคนควบคุม

ศ.นพ.บรรจงกล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดลมียุทธศาสตร์สำคัญหลายประการที่จะช่วย ขับเคลื่อนและร่วมพัฒนาประเทศ พร้อมที่จะนำองค์ความรู้ต่างๆ ช่วยเหลือสนับสนุนเมื่อเกิดปัญหา โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ Covid-19 รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับ ทั้งภาครัฐและเอกชนในการต่อยอดผลงานวิจัยต่างๆ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหา

ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์มีงานล้นมือ ต้องปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรมหุ่นยนต์มีส่วนช่วยบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างมาก จึงถูกนำมาใช้ในโรงพยาบาลเพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์ เพื่อช่วยลดการสัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อ สามารถใช้ในการติดตามคนไข้บนหอผู้ป่วย ใช้ในการดูแลและการพยาบาล ใช้ขนส่งอาหาร อุปกรณ์ทางการแพทย์ และเวชภัณฑ์ยา

สิ่งเหล่านี้ คือ เหตุผลความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนของการที่ต้องนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยงานมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยง และช่วยแบ่งเบาภารกิจของบุคลากร

ศ.นพ.บรรจงกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยมหิดลได้พัฒนาหุ่นยนต์หลายตัว โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน และคณะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ผลจากการทดลองใช้พบว่ามีประสิทธิภาพสูง แต่เนื่องจากมหาวิทยาลัยมีโรงพยาบาลในสังกัดหลายแห่ง การได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนจึงถือเป็นความร่วมมือช่วยเหลือการปฏิบัติงานของทีมบุคลากรทางการแพทย์อีกทางหนึ่งซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพที่ดีในการรักษาพยาบาลและสร้างความปลอดภัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน