รู้ไปโม้ด

[email protected]

ถึงน้าชาติ

อยากทราบว่า ที่ไข่เยี่ยวม้าเป็นสีดำและเป็นวุ้นเกิดจากอะไรคะ แล้วจริงหรือไม่ ถ้ารับประทานมากๆ แล้วจะอันตรายต่อสุขภาพรึเปล่าคะ

จาก หนูนิด

ตอบ หนูนิด

ไข่เยี่ยวม้า ถือเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของมนุษย์ในการถนอมอาหาร สันนิษฐานว่าไข่เยี่ยวม้ามีต้นกำเนิดที่มณฑลหูหนาน ทางตอนใต้ของจีน ในสมัยราชวงศ์หมิง (พ.ศ.1911-2186) มีชาวจีนพบว่าไข่ดิบที่ถูกกลบอยู่ในบ่อปูนขาวเกือบๆ 2 เดือน มีกลิ่นและรสเฉพาะตัวซึ่งสามารถรับประทานได้ จึงได้คิดค้นพัฒนาวิธีทำไข่เยี่ยวม้าขึ้น เป็นอาหารจีนที่ได้รับความนิยมแพร่หลายทั่วไป

ในสมัยโบราณ ไข่เยี่ยวม้าทำได้ง่ายๆ โดยนำไข่เป็ดมาพอกด้วยขี้เถ้าไม้ผสมกับดิน แล้วใส่ภาชนะปิดฝาไว้นานราวสองเดือน จนกลายเป็นไข่เยี่ยวม้า ก็นำไปรับประทานได้ ปัจจุบันพัฒนามาเป็นการใช้ขี้เถ้าไม้ผสมกับปูนขาว เกลือ โซเดียมคาร์บอเนต รวมถึงใบชา และยังดัดแปลงไปอีกหลายสูตร

แต่กรรมวิธีพื้นฐานของการทำไข่เยี่ยวม้า คือการนำเอาส่วนผสมข้างต้น คือใบชา ปูนขาว เกลือป่น ขี้เถ้า คลุกเคล้ากับน้ำให้เหนียวขนาดแป้งเปียก แล้วนำไปพอกไข่เป็ดหนาประมาณ 7-10 เซนติเมตร

หลังจากนั้นคลุกแกลบ บรรจุไว้ในภาชนะเช่น ไห โอ่ง ถังไม้ ใช้กระดาษน้ำมันหรือพลาสติกปิดฝากันอากาศเข้า เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 24-25 องศาเซลเซียส เปิดฝาทุก 7 วัน เพื่อกลับให้ไข่แดงอยู่ตรงกลาง เก็บไว้นาน 40-50 วัน ก็นำมารับประทานได้ หรืออาจบรรจุภาชนะปิดฝาฝังดินไว้นาน 5-6 เดือน

ไข่ที่ได้ที่แล้วเก็บไว้ได้นานถึงหนึ่งปี

ไม่ว่าจะทำไข่เยี่ยวม้าด้วยสูตรไหน หลักการหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ต้องใช้วัตถุดิบที่มีสภาพเป็นด่าง เป็นส่วนผสมอยู่ด้วยเสมอ เช่น ปูนขาว โซเดียม คาร์บอเนต โซเดียมไฮโดร คาร์บอเนต มาทำให้เป็นน้ำด่าง แล้วให้น้ำด่างนี้ค่อยๆ ซึมผ่านรูพรุนเล็กๆ ที่เปลือกไข่ เข้าไปในไข่ขาวและไข่แดง ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีขึ้น ทำให้ไข่ขาวและไข่แดงเปลี่ยนสภาพเกิดการแข็งตัวคล้ายๆ กับวุ้น และการเติมน้ำชา จะทำให้ไข่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล

2

การที่น้ำด่างซึมเข้าไปในไข่ขาวและไข่แดง ก็จะทำให้ทั้งไข่ขาวและไข่แดงมีสภาพเป็นด่างไปด้วย เมื่อไข่ขาวและไข่แดงมีค่า pH 11.3-11.7 จะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่เอนไซม์จะแปรสภาพกรดอะมิโนในไข่ ให้แข็งตัวจนคล้ายวุ้น และเมื่อเอนไซม์บางตัวเปลี่ยน กำมะถันในโปรตีนที่อยู่ในไข่ก็จะกลายเป็นไฮโดรเจนซัล ไฟด์และแอมโมเนีย กลายเป็นกลิ่นเฉพาะที่จะรู้สึกได้ทันทีที่ปอกไข่ แต่เมื่อทิ้งไว้สักพัก กลิ่นก็จะระเหยไป นอกจากนี้ ไฮโดรเจน ซัลไฟด์ยังมีส่วนทำให้ไขเยี่ยวม้าเป็นสีน้ำตาลด้วย

เชื่อกันว่า ไข่เยี่ยวม้ามีประโยชน์ในการบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต เจริญอาหาร แต่ที่ไม่แนะนำให้รับประทานบ่อยๆ ก็เพราะบางครั้งผู้ผลิตจะใส่สารประกอบของตะกั่วลงไปเพื่อควบคุมความเป็นกรดด่าง (pH) ให้คงที่ ช่วยให้ไข่ขาวแข็งตัวสม่ำเสมอ อาจทำให้มีสารตะกั่วในรูปของตะกั่วซัลไฟด์ปนอยู่ในไข่เยี่ยวม้า และเป็นอันตรายต่อร่างกาย

วิธีสังเกตว่าไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วปนอยู่หรือไม่ ให้ดูจากส่วนของไข่ขาว จะมีสีน้ำตาลคล้ำ และมีลักษณะใส ส่วนไข่เยี่ยวม้าที่มีตะกั่วซัลไฟด์ปะปนจะขุ่นและมีสีดำมาก ไม่ควรรับประทาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน