ขนหัวลุก

ใบหนาด

“กระแต” เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบุญเดือนเก้า

หนูเป็นเด็กกาฬสินธุ์ที่เขาชอบเรียกกันว่า “เมืองน้ำดำ” นั่นแหละค่ะ ความจริงน่าจะเรียกว่าเมืองดินดำน้ำชุ่มมากกว่า เพราะความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินและลำน้ำปาวในบ้านหนูน่ะคิดว่าเป็นที่หนึ่งในภาคอีสานเลยละ

คำขวัญประจำจังหวัดหนูดูเหมือนจะบอกเล่าเก้าสิบเอาไว้ครบถ้วนเชียวค่ะ

“เมืองฟ้าแดดสงยาง โปงลางเลิศล้ำ วัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวา ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์โลกล้านปี”

อยากจะเล่ารายละเอียดของจุดเด่นๆ ที่กลายเป็นคำขวัญประจำจังหวัด ก็กลัวว่าท่านผู้อ่านจะเสียเวลาหรือเบื่อหน่ายเปล่าๆ เพราะจังหวัดใครก็ต้องบอกว่าของตัวเองดีอย่างนั้นวิเศษอย่างนี้ จริงไหมคะ?

วันนี้หนูมีเรื่อง “จารีตอีสาน” ที่มากมายกว่าภาคอื่นๆ โดยเฉพาะเดือนที่ทั้งสนุก และน่ากลัวของเด็กๆ ทุกคนแหละค่ะ

แหม! เรื่องน่ากลัวจะไปมีอะไรยิ่งกว่าเรื่องผีๆ สางๆ ที่ทำให้ขนหัวลุกล่ะคะ?

เดือนที่ว่าคือบุญเดือนเก‰า เรียกว่า “บุญข้าวประดับดิน” ค่ะ!

พวกเราชาวอีสานทุกจังหวัดมีจารีตนี้เหมือนๆ กัน นิยมจัดขึ้นในวันคืนฟ้ามืดคือแรม 14 ค่ำ โดยเริ่มต้นตอนเช้าที่วัด ทำบุญเลี้ยงพระ รับศีลรับพรแล้วก็นำข้าวปลาอาหารรวมทั้งหมากพลู บุหรี่และสุราไปฝังดินเพื่อเป็นการระลึกถึงบุญคุณของแม่พระธรณี ที่ช่วยให้การเพาะปลูกดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดไป

นอกจากผีตาแฮก ผีปู่ตา ฯลฯ กับเทวาอารักษ์อีกมากมายที่เราเชื่อถือและเคารพกราบไหว้มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษแล้ว ว่าจะช่วยปกป้องดูแลไร่นาให้เราเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย..คุ้มกับหยาดเหงื่อของพวกเราที่ต้องหันหลังสู้ฟ้า-ก้มหน้าสู้ดินมาตลอดปี

พูดถึงผีก็นึกถึงผีปู่ย่าตายายที่เราชวนกันทำบุญ “ข้าวประดับดิน” ให้ในเดือนนี้ไงล่ะคะ..ปลายฝนใกล้จะต้นหนาวพอดี

สาเหตุมาจากความเชื่อเก่าแก่ว่า คืนนี้ยมบาลจะปล่อยให้วิญญาณทั้งหลายจากยมโลกขึ้นมารับข้าวปลาอาหาร หมากพลู บุหรี่ และสุราจนอิ่มหนำสำราญปีละครั้งเดียวเท่านั้น!

ส่วนมากจะจัดอาหารใส่กระทงวางบนพื้นดินพื้นหญ้า บ้านใครบ้านมัน แล้วจุดธูปบอกกล่าววิญญาณญาติมิตร รวมทั้งสัมภเวสีผู้หิวโหยทั้งหลายแหล่ ได้มาเสพสุรากินอาหารให้อิ่มหนำสำราญใจ

บรรยากาศช่วงนั้นก็ช่างแสนเยือกเย็นวังเวงใจ เหมาะเจาะกับวัน “ข้าวประดับดิน” จริงๆ เลยค่ะ พวกเด็กๆ เราเกาะมือพ่อแม่แจกันทุกคน

เสียงหมาหอนโหยหวนชวนให้เสียวสันหลัง ต้นไม้น้อยใหญ่ก็สะบัดกิ่งใบเสียงซู่ซ่าเกรียวกราว เหมือนเสียงใครกลุ่มใหญ่กำลังหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข

พวกพี่ๆ ที่เป็นวัยรุ่นแถวบ้านหนูบอกว่าวางของกินบนพื้นดินพื้นหญ้าไม่เหมาะซะเลย ต้องเอาแขวนไว้ตามกิ่งไม้ถึงจะเท่ ขนาดบอกว่าต้อง “อัพเกรด” วิญญาณของบรรพบุรุษเราขึ้นมาตามยุคตามสมัย

ตกลงต้องหาเชือกไปคล้องอาหารไว้ตามกิ่งไม้น้อยใหญ่ ต่ำบ้างสูงบ้าง บางคนก็ตาดีหาที่ซุกกระทงไว้ตามคาคบไม้ หรือตามโคนกิ่งบ้าง ระหว่างก้านที่รองรับกระทงได้พอดีบ้าง..ทำไปหัวเราะไป สนุกสนานกันเต็มที่ พวกผู้ใหญ่มองดูยิ้มๆ บางคนก็หัวเราะ.. สงสัยว่าสมัยหนุ่มๆ สาวๆ ท่านคงจะเคยทำแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน

โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว..เมฆหนาทึบลอยต่ำลงมา แสงแดดถูกบดบังจนอากาศยิ่งเย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม ลมพัดมาอู้ๆ แล้วเริ่มแรงขึ้นๆ ทุกที เล่นเอาพวกเราเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง ก่อนจะมองสบตากัน..

น่าแปลกที่กระทงอาหารและของอื่นๆ ไม่ได้ปลิวไปตามสายลมรุนแรงเลยค่ะ ราวกับมีอะไรบางอย่างมายึดเอาไว้แน่นหนา

ท่ามกลางลมแรงในฟ้าครึ้มราวกับพลบค่ำ หนูเห็นเงาดำๆ ก้อนใหญ่ที่คิดว่าเป็นก้อนเมฆลอยต่ำ..แต่มันต่ำเกินไปจนดูเหมือนคนกลุ่มหนึ่งพุ่งฮือเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง บางคนถึงกับวี้ดว้าย วิ่งหลบเข้าใต้ถุน บางคนขวัญอ่อนก็ถึงกับโจนบันไดขึ้นเรือนไปเลย

ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ดูยาวนานคล้ายจะไม่มีวันสิ้นสุด..ท้องฟ้าก็เปิดกว้างขึ้นตามเดิม เมฆหนาทึบกระจัด กระจายไป ทุกสิ่งกลับมาเป็นปกติ..หนูกับเพื่อนๆ วิ่งไปดูกระทงข้าวปลาแต่อาหารไม่มีเหลือเลย หมากพลู บุหรี่ และสุราก็หมดเกลี้ยงเช่นกัน

จะว่าลมพัดกระจายไปแล้วก็ไม่เห็นมี..ไปดูตามกิ่งไม้ที่ห้อยไว้ก็เหลือแต่กระทงเปล่าๆ พวกเรามองสบตากัน พูดอะไรไม่ออกซักคำ..แต่ขนลุกขนชันทุกคนเลยค่ะ!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน