“นทธี ศศิวิมล”

ราวสองสามคืนที่ผมต้องประหลาดใจในตอนกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงคล้ายคนถอนหายใจเศร้าๆ อยู่ภายในห้องนอนของตัวเอง ทั้งๆ ที่ผมอยู่คนเดียว

เสียงนั้นฟังดูเหมือนเป็นเสียงของผู้หญิง น่าจะอยู่ในวัยสาว และกำลังมีความทุกข์ เธอถอนหายใจอยู่หลายครั้ง แต่ละครั้งห่างกันหลายนาที เหมือนคนที่กำลังนอนไม่หลับกระสับกระส่ายด้วยความไม่สบายใจบางประการ ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี และขนาดแม้ว่าเจอเรื่องแปลกๆ ที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์แบบนี้ผมก็ยังไม่เชื่อ

อีกอย่าง ความรู้สึกของผมเมื่อได้ยินเสียงเธอถอนหายใจ ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่ากลัว ขนหัวลุก หรืออะไรอื่นที่เคยได้ยินเขาเล่าๆ กันมาเวลาที่คนเจอเข้า กับผี กลับเป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมาอย่างที่จะรู้สึกเมื่อเพื่อนสนิทกำลังทุกข์

ผมพยายามตามหา คำตอบเท่าที่จะตามหาได้ ว่าเสียงน่าจะมาจากไหน หลายครั้งที่ผมเข้าห้องน้ำอาบน้ำ จะได้ยินเสียงเพื่อนบ้านที่เป็นทาวน์เฮาส์ติดกันพูดคุยหัวเราะอยู่ในห้องน้ำ บางครั้งเป็นเสียงคนร่วมรักครวญคราง ผมเดาว่าเสียงเหล่านั้นน่าจะเดินทางมาตามท่อน้ำทิ้งที่เชื่อมต่อกัน เพราะเมื่อไปอยู่ในบริเวณอื่นๆ ของบ้านผมจะไม่เคยได้ยินเสียงพวกนี้เลย

เสียงลึกลับนั้นไม่เหมือนกรณีห้องน้ำ เพราะผมอยู่บนเตียงนอน ไม่มีท่อ หน้าต่างปิดสนิท ประตูปิดสนิท ไม่มีช่องลมช่องแดดใดๆทั้งนั้น จะว่าเสียงจากโทรศัพท์หรือผมก็ปิดมันก่อนนอนทุกคืน และหยิบมาเช็กทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

หลังจากนั้นกลายเป็นว่าผมนอนรอฟังเสียงเธอ กลางดึกคืนหนึ่ง พอเธอเริ่มถอนหายใจ ผมก็พยายามเงี่ยหูจับทิศทางของเสียงแล้วขยับใกล้เข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปชัดเจนอยู่ตรงบริเวณตู้หนังสือการ์ตูนที่เรียงกันอยู่ข้างประตู ถ้าคิดแบบโรแมนติกแฟนตาซีผมคงคิดว่าตัวละครจากการ์ตูนเล่มใดเล่มหนึ่งแอบส่งเสียงออกมาจากในหนังสือ เพื่อสื่อสารกับผม ยิ่งใกล้เข้าไปเสียงยิ่งชัดขึ้น มันชัดจนน่าตกใจที่ว่า ผมเจอมุมหนึ่งที่พอขยับเข้าไปแล้วได้ยินเหมือนเสียงลมหายใจของเธอ!

ตอนนั้นเองที่ผมต้องสะดุ้งขึ้นมาสุดตัว เพราะได้ยินเธอกระซิบออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นว่า “นั่นใครน่ะ” ใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ บางทีนี่อาจจะเป็นอาการประสาทหลอน แต่ทว่า มันช่างชัดเจนเหลือเกินทั้งน้ำเสียง อารมณ์ กระทั่งเสียงหายใจ

ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าควรตอบไปอย่างไร เลยกระแอมออกมานิดหน่อย และได้ยินเสียงเธอร้องสะดุ้งเบาๆ ก่อนที่ผมจะพูดต่อไปว่า “ดะ…ได้ยินผมด้วยเหรอ”

หลังจากนั้น เราสองคนพยายามอย่างยิ่งที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่าบริเวณข้างตู้หนังสือของผม หรือทางฝั่งของเธอที่เป็นโต๊ะหัวเตียง จะเป็นจุดรับสัญญาณ หรือเรียกให้ถูกเป็นช่องอะไรสักอย่าง ที่ทำให้เราติดต่อสื่อสารกันได้แบบแปลกๆ อย่างนี้

เธอชื่อเพลง อยู่ในบ้านของตัวเองที่เพิ่งซื้อมาเมื่อปีก่อน เธอว่าเธอมาดูบ้านหลังนี้ตั้งแต่เพิ่งขึ้นโครงการ เพราะทำเลที่ตั้งและแบบบ้าน รวมถึงราคาบ้านอยู่ในงบประมาณที่เธอตั้งเอาไว้ เธอกับแฟนมาดูบ้านตัวอย่างแล้วชอบมาก เลยตกลงใจกู้ร่วมกันเพื่อซื้อบ้านหลังนี้ ผมถามแล้ว ชื่อโครงการและตำแหน่งที่อยู่ตรงกับตำแหน่งที่ผมอยู่ในปัจจุบัน นั่นยิ่งทำให้ผมประหลาดใจ แต่ทว่าเมื่อสอบถาม ไปมา เธอบอกว่า วันเวลาที่เธออยู่นั้น เป็นวันเวลาเมื่อห้าปีที่แล้ว

ทางฝั่งของเธอยิ่งประหลาดใจเมื่อรู้ว่าผมอยู่ในปีหลังจากที่เธออยู่ หมายความว่าสำหรับเธอแล้วผมเป็นคนที่อยู่ในอนาคต เธอพยายามลองพิสูจน์หลายๆ อย่าง เช่นถามถึงเรื่องที่จะเกิดในวันรุ่งขึ้นของเธอ หรือห่างไปอีกสองสามวัน ผมตอบเธอได้ไม่ยากในเมื่อเว็บไซต์ข่าวมันก็มีมาตั้งนานหลายปีแล้ว เข้ากูเกิ้ลค้นดูก็บอกได้ครบทุกหัวข้อข่าว

เช่นว่าวันไหนรถจะชนที่ไหนหรือมีคนดังคนไหนป่วยเข้าโรงพยาบาล ฟุตบอลทีมไหนจะชนะ ยิ่งตอบถูกมากเธอก็ยิ่งตื่นเต้นตกใจ และทำเอาผมตื่นเต้นไปด้วย เราคุยกันถูกคอง่ายมากจนไม่น่าเชื่อ แม้การมานั่งพูดคนเดียวกับกำแพงข้างตู้หนังสือมันจะดูประสาทๆ แต่ผมก็ติดใจจนแทบเฝ้ารอเวลาที่จะได้คุยกับเธอในแต่ละคืนไม่ไหว ทางเพลงเอง ก็ติดใจอยากคุยกับผมเหมือนกัน

เราคุยกันจนได้ทราบว่า เธอกำลังไม่สบายใจเรื่องที่แฟนของเธอที่คบกันมาหลายปี เริ่มมีทีท่าบึ้งตึงขึงขังใส่เธออย่างไม่มีเหตุผล เริ่มกลับบ้านดึก และพักหลังๆ อ้างว่ามีงานต้องไปต่างจังหวัดบ่อยๆ แถนมตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์ทำให้เธอเครียด และกังวลว่าแฟนเธอกำลังจะนอกใจ

“เอ ว่าแต่ว่า” เพลงสงสัย “แต่ถ้าคุณอยู่ในอนาคตจริง แล้วทำไมตอนนี้บ้านของฉันกลายเป็นบ้านของคุณไปได้ล่ะ”

คำถามนั้นทำเอาผมสงสัยไปด้วย ผมเลย ขอถามชื่อ สกุลจริงของเธอเพื่อสืบค้นหาในกูเกิ้ล และก็พบกับความจริงที่น่าใจหาย นั่นคือ เพลง ที่ผมคุยด้วยอยู่ทุกคืนนั้น ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว

(อ่านต่อพรุ่งนี้)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน