น้องธันย์ เหยื่อรถไฟฟ้าสิงคโปร์ ล้วงมายด์เซ็ตสู่การคิดบวก เปิดประสบการณ์สุดลุย ดำน้ำ เหินฟ้า ท้าชีวิต ตั้งเป้าพิชิตฝัน! นักพูดสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก

น้องธันย์ ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ สาวน้อยคิดบวก เหยื่อรถไฟฟ้าสิงคโปร์ ที่เคยเป็นข่าวโด่งดังผ่านมา 10 ปี จากเด็กวัย 14 ปี ที่มีสภาพร่างกายปกติ กลายมาเป็นผู้พิการ แต่ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เธอสามารถปลดล็อกความรู้สึกทุกข์แสนสาหัสสู่การคิดบวกได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมูฟออนชีวิตได้อย่างมีความสุขในทุกลมหายใจ

 

 

“ธันย์ก็เป็นเด็กต่างจังหวัดคนนึงที่มีร่างกายสมบูรณ์ ครบ 32 แต่ด้วยตอนอายุ 14 ธันย์ไปเกิดอุบัติเหตุตอนที่ไปเรียนซัมเมอร์ที่สิงคโปร์

เจออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน เป็นอุบัติเหตุครั้งใหญ่เลย เกิดการเบียดเสียดกันเกิดขึ้น ทำให้เราตกไปในรางรถไฟฟ้า ในขณะที่รถกำลังจะเข้าชานชาลา ซึ่งไม่สามารถจะมีใครลงไปช่วยได้ทัน ทำให้เราต้องสูญเสียขาทั้งสองขา มาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่ปี 54 จนถึงทุกวันนี้ก็เกือบจะ 10 ปีแล้ว”

ปลดล็อกความรู้สึก สู่การคิดบวก


“พอตื่นขึ้นมาแล้วเรารู้ตัวว่าไม่มีขา คือความรู้สึกมันเหมือนอัดอั้น สับสน คือไม่รู้จะคิดอะไรก่อน

เราก็ค่อยๆ ทิ้งสิ่งที่เราสับสนทั้งหมดออกไป แล้วเราก็อยู่กับแค่อารมณ์ของตอนรักษา

ตั้งแต่วันนั้นก็ใช้ชีวิตในโรงพยาบาลแบบแฮปปี้ ในระยะเวลา 2 เดือน ก็ไม่ได้อยู่กับเตียง นอนติดเตียง ออกไปใช้ชีวิต ไปเจอพี่ๆ พยาบาล เหมือนอยู่บ้าน


เมื่อก่อนเราเป็นคนที่อ่อนไหวกับอะไรง่ายๆ มากกว่า ไม่เชิงคิดลบ สมมติเราสอบตกวิชานึง เราก็จะร้องไห้แล้ว หรือถูกเพื่อนแกล้งก็จะร้องไห้ แต่พอเรามาเกิดอุบัติเหตุ เราแข็งแกร่งขึ้นมากกว่า ที่เหมือนกับว่าโอเค เหตุการณ์นี้ ถ้าเราฮึบนิดเดียว เราก็จะอยู่กับมันได้ มันเปลี่ยนมายด์เซ็ตตรงนั้นมากกว่า

มันไม่ใช่การคิดบวกที่แบบ ดีจังเลย ไม่มีขา แต่มันคือการ โอเค ฉันสามารถมูฟออนต่อไปได้ ฉันยังมีอวัยวะส่วนอื่น ยังมีครอบครัวช่วยเหลือนะ”


สานฝันนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ


“เราแค่รู้สึกอยากแบ่งปันประสบการณ์ที่เราเจอมา พอเราไปพูดเหมือนมันอเมซิ่งมาก เพราะสิ่งที่เราไปพูด มันเหมือนกับเราได้ไปเจอคนที่เขาไม่รู้จักเราเลยด้วยซ้ำ แต่พอเขาฟังเรื่องราวของเรา เหมือนเขาเปลี่ยนมายด์เซ็ตของตัวเองได้ มันเลยทำให้เรารู้สึกอยากแบ่งปัน

จริงๆ บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจของธันย์เลย ชื่อคุณแทมมี ดักเวิร์ธ เขาเป็นวุฒิสมาชิกที่สหรัฐอเมริกา เขาไม่จำเป็นต้องเดิน ในการทำภารกิจสำคัญๆ


เราเลยรู้สึกแบบ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณนั่งวีลแชร์ หรืออยู่ในโพซิชั่นไหน มันอยู่ที่ว่า คุณมีคุณสมบัติพอมั้ยในการจะพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่ธันย์อยากเป็น คือเป็นคณะทำงานในการจัดตั้งนโยบาย หรือทำในสิ่งที่จะต้องร่างเป็นกฎหมาย นี่คือสิ่งที่เราฝันไว้อย่างหนึ่ง”

นอกจาก น้องธันย์จะเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจแล้ว เธอยังเป็นนักสื่อสารองค์กรที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งอีกด้วย

“ทำมาเรื่อยๆ เป็นเวลา 3-4 ปีแล้ว เป็นหน้าที่พิเศษหน่อย คือไม่ได้เป็นแค่ผู้ส่งสาร หรือทำภาพลักษณ์องค์กรให้ดี แต่ต้องเป็นการที่สื่อสารกับผู้ป่วย ในโรงพยาบาล ให้เข้าถึง ให้มีความพึงพอใจ”

 

ปัจจุบันนี้ น้องธันย์เพิ่งเรียนจบคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พอจบปุ้บเธอก็เรียนต่อปริญญาโททันที

“ตอนนี้ธันย์ก็เรียนต่อปริญญาโท อยู่คณะจิตวิทยา ที่จุฬาฯ เรารู้สึกว่า คนชอบถามเราว่า ทำไมหนูถึงคิดบวก

เราก็เลยอยากเรียนจิตวิทยา เพื่อที่เราจะตอบคำถามว่า โอเคนะ มันเกิดจากแบบนี้ มันมีทฤษฎีหรือเวลาเราสอน พูดให้คนอื่นฟัง เขาจะได้รับสารที่ถูกต้องมากขึ้น”

เปิดประสบการณ์สุดลุย

“ธันย์มีความฝันว่า อยากเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก ซึ่งสิ่งที่ทำให้ธันย์ไปถึง คือประสบการณ์ในการใช้ชีวิต


ถามว่ามันลำบากมั้ย ถ้าคนมองว่ามันลำบาก ก็คือลำบาก แต่ว่าสำหรับตัวธันย์มองว่า มันไม่มีข้อจำกัดไหนที่ลำบากเท่ากับข้อจำกัดที่เราตั้งไว้กับตัวเอง เราก็เลยคิดว่าเราไม่ได้ตั้งข้อจำกัดกับตัวเอง มันก็เลยเหมือนปลดล็อกสิ่งที่สังคมตั้งไว้

ออกไปทำกิจกรรมมันทำให้เราเห็นมุมมอง ว่าเราไม่ได้จำเป็นต้องไปกับคนที่รู้จัก เขาจะช่วยเราเท่านั้น เราไปข้างนอกถ้าเขาเห็น เราบอกให้เขาช่วย เขาก็ช่วย คือคนไทยแบบพร้อมที่จะช่วยเหลือ


ก่อนเกิดอุบัติเหตุ คือธันย์ว่ายน้ำไม่เป็น เพราะธันย์เคยมีประสบการณ์ตอน 7 ขวบ จมน้ำ ตอนไปเรียนว่ายน้ำ จมน้ำจนพี่ต้องดำลงไป อุ้มขึ้นมาเพื่อปั๊มหัวใจ เลยมีความรู้สึกกลัวใต้น้ำ

พอไปลงความรู้สึกมันเปลี่ยน คือทีนี้ขามันแตะไม่ถึงน้ำ เพราะว่าขามันหายไป แล้วตัวเราก็ลอย คือทำไงก็ไม่จม ด้วยตำแหน่งร่างกาย คือทำไงก็ลอย

เลยทำให้เรารู้สึกว่า อย่างน้อยก็ปลอดภัย ไม่จมน้ำ ก็เลยเปลี่ยนมายด์เซ็ตของตัวเอง”

นอกจากกิจกรรมดำน้ำแล้ว น้องธันย์ยังชอบไปวิ่งมาราธอน เล่นพาราไกลดิ้ง (ดิ่งร่มร่อน)


“ส่วนกิจกรรมที่ท้าทายตัวเองตอนนี้ยังทำไม่ได้เลย ก็คือปีนเขา สักวันเราอยากจะทำได้ ที่ไม่ใช่เป็นแบบหามขึ้นไปนะ ต้องขึ้นไปเอง

มันเป็นอะไรที่แบบสนุก ต่อให้เราบาดเจ็บบ้าง แต่มันก็เป็นอะไรที่แบบ เป็นประสบการณ์ที่เรามีเรื่องไปเล่าต่อได้ มันไม่ใช่การอยู่บ้านอ่านหนังสือเฉยๆ”


น้องธันย์ยังฝากข้อคิดพร้อมส่งต่อพลังบวกสำหรับคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิตปิดท้ายด้วยค่ะ

“ต่อให้คุณจะพลาดอะไรก็ตามทั้งหมดในชีวิต สิ่งหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด คือคุณไม่ควรที่จะตัดสินว่าตัวเองผิดพลาด คือไม่ให้โอกาสตัวเองที่ทิ้งโอกาสของตัวเองไป

ต่อให้เราจะไม่มีโอกาสเหลือเลยจากสิ่งรอบตัวเรา ธันย์คิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามเราให้โอกาสตัวเอง เราก็เหมือนมี 1% จาก 100 เหมือนเป็นแบตเตอรีที่เดินต่อไปได้ ถ้าสมมติเราตัด 1% นี้ออกไป เท่ากับเราว่าแบตเตอรี่เราเหลือ 0 ก็คือชัทดาวน์”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน