ชาวบ้านญี่ปุ่น พบถุงยางอนามัย อายุกว่า 120 ปี ในโกดังบ้าน โดยมีเพื่อป้องกัน ‘โรคพิษพลัม’ เจ้าของบ้านคาด เจ้าของบ้านคนก่อน ใช้โกดังนี้ เพื่อการมีเพศสัมพันธ์
เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2564 เว็บไซต์ SoraNews24 นำเสนอข่าวว่า มีชาวบ้านญี่ปุ่น ได้พบถุงยางอนามัย อายุกว่า 120 ปี ในโกดังที่ติดกับบ้าน ซึ่งบ้านดังกล่าวเป็นบ้านเก่าแก่ดั้งเดิมของญี่ปุ่น เจ้าของบ้านคาดว่า เจ้าของบ้านคนก่อนน่าจะใช้โกดังนี้เพื่อการมีเพศสัมพันธ์ โดยช่วง 120 ปีก่อน เป็นช่วงที่โรคพิษพลัม เกิดการแพร่ระบาด จึงทำให้ถุงยางอนามัยรุ่นดังกล่าวได้รับความนิยม
โมริชิตะ จินตัน เป็น บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดโอซาก้ามาอย่างยาวนาน บริษัทแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นในสมัยเมจิของญี่ปุ่น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 นี้จะเป็นช่วงแห่งการครบรอบ 130 ปี ของการก่อตั้งบริษัท
กาลเวลาที่ผ่านไปนานถึง 130 ปี ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็พัฒนาไปตามยุคสมัย ผลิตภัณฑ์ของบริษัท โมริชิตะ จินตัน ในตอนนี้แตกต่างกับสมัยก่อนอย่างมาก เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาจำหน่ายในช่วงแรก ๆ โดยเมื่อไม่นานมานี้ มีคนในชนบทของญี่ปุ่นได้พบผลิตภัณฑ์ชิ้นแรก ๆ ของบริษัท โมริชิตะ จินตัน โดยสิ่งที่ชาวบ้านไปพบเข้าคือถุงยางอนามัย ที่มีอายุประมาณ 120 ปี
เจ้าของบ้านพื้นบ้านญี่ปุ่นในสมัยดั้งเดิม หรือ ที่เรียกกันว่า “บ้านโคมิงกะ” เปิดเผยว่า พบถุงยางอนามัยในเมืองชิกะมาจิ จังหวัดอิชิกาวะ โดยปัจจุบันบ้านหลังนี้ ได้ถูกดัดแปลง ให้เป็นโรงแรมสำหรับนักเดินทาง โดยเจ้าของบ้าน พบถุงยางอนามัยอยู่ในโกดังที่อยู่ติดกับบ้าน ซึ่งทำให้เจ้าของบ้านคนปัจจุบันเกิดความสงสัยว่า เจ้าของบ้านคนก่อน ใช้โกดังเก็บของนี้ เพื่อการมีเพศสัมพันธ์ด้วยหรือไม่
โดยถุงยางอนามัย ที่ถูกพบนั้น เป็นถุงยางอนามัยรุ่น ‘ยามาโตะ คินุ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในถุงยางอนามัยที่วางขายในท้องตลาดเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น ในช่วงปี โดยช่วงดังกล่าว การใช้ถุงอนามัยเป็นไปเพื่อป้องกันการติดเชื้อซิฟิลิส ซึ่งพบการระบาดครั้งใหญ่ ในช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษที่ 20 ซึ่งในญี่ปุ่นเรียกเชื้อซิฟิลิสว่า ‘ไบโดคุ’ ซึ่งแปลว่า ‘พิษพลัม’ เนื่องจากผู้ติดเชื้อซิฟิลิส มักมีผื่นสีแดงอมม่วงขึ้นตามร่างกาย
แม้ว่า ‘ยามาโตะ คินุ’ จะแปลว่า ‘ไหมญี่ปุ่น’ แต่ถุงยางอนามัยนี้ผลิตในประเทศฝรั่งเศส และ ถูกนำเข้าโดย บริษัท โมริชิตะ จินตัน ในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตในญี่ปุ่นในขณะนั้นยังไม่เพียงพอที่จะผลิตเองในประเทศ อย่างไรก็ตาม ถุงยางอนามัย ยามาโตะ คินุ ถือว่า ได้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตและวิถีชีวิตทางความรักและเพศสัมพันธ์ของชาวญี่ปุ่นอย่างมาก
หลังจากเจ้าของบ้านโคมิงกะค้นพบพุงยางอนามัยดังกล่าว ก็ได้ตกลงที่จะบริจาคถุงยางอนามัยชิ้นที่ค้นพบให้กับบริษัท เนื่องจากเจ้าของบ้านโคมิงกะอยากให้วัตถุทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้อยู่ในความดูแลของบริษัทผลิตยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดย บริษัท โมริชิตะ จินตัน เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นเตรียมนำถุงยางอนามัยชิ้นดังกล่าว มาจัดแสดงที่สำนักงานใหญ่