กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ หลังแม่ชาวออสซี่ได้ออกมาเล่าเรื่องที่เธอได้คลอดเด็กทารกเพศชาย ที่มีน้ำหนัก 6.6 กิโลกรัม และมีความยาว 60 เซนติเมตร ใหญ่กว่าเด็กทารกทั่วไปถึงสองเท่า
คุณแม่ชาวออสเตรเลียรายหนึ่ง ได้เข้าร่วมชาเลนจ์ที่ให้เหล่าคุณแม่ออกมาเล่าประสบการณ์การคลอดเด็กทารกตัวโต และมาอวดกันว่าใครจะมีทารกที่ตัวโตที่สุด ซึ่งผู้ใช้ติ๊กต็อกบัญชี @shans1588 ก็ได้ออกมาเล่าเรื่องราวของเธอด้วยเช่นกัน ทำให้ในตอนนี้คลิปของเธอได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและมีผู้เข้าชมแล้วกว่า 30 ล้านครั้ง และเข้ามาแสดงความคิดเห็นกว่า 1 แสนครั้ง
โดยเธอได้ออกมาเล่าว่าหลังจากที่เธอตั้งครรภ์ลูกคนที่สองของเธอมานานกว่า 38 สัปดาห์ เธอก็ได้คลอดเด็กทารกเพศชายโดยวิธีการผ่าคลอด ซึ่งการคลอดของเธอในครั้งนี้ต้องใช้แพทย์ถึงสองคน เพราะลูกน้อยของเธอนั้นเกิดมาพร้อมกับน้ำหนัก 6.6 กิโลกรัม และมีความยาวถึง 60 เซนติเมตร ซึ่งลูกชายของเธอมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าเด็กทารกทั่วไปถึง 2 เท่า
“ใช่ ฉันให้กำเนิดเด็กทารกตัวน้อย เขาใช้เวลาอยู่ในแผนกบำบัดพิเศษทารกแรกเกิดถึง 11 วันด้วยกัน มันทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นเด็กทารกที่ตัวใหญ่ที่สุดในนั้น ไม่มีผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้าที่พอดีกับเขาเลย” คุณแม่เล่าต่อว่าทารกตัวน้อยของเธอต้องใช้ผ้าอ้อมถึง 3 ผืนที่พวกเขาไปขอซื้อมาจากแผนกกุมารเวชศาสตร์ และเมื่อถึงกำหนดที่สามารถกลับบ้านได้ เด็กคนนี้ก็ต้องกลับบ้านขณะสวมชุดของเด็กวัย 6-9 เดือน
แน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่เห็นเด็กน้อยรายนี้ก็อดที่จะแซวถึงตัวที่ใหญ่กว่าปกติของหนุ่มน้อยคนนี้ไม่ได้ “เขามีบัตรเครดิตได้แล้ว” “เขาออกมาก็โตเลย” ในขณะที่บางรายก็พูดขำ ๆ ว่า “เด็กคนนั้นขับรถออกจากโรงพยาบาลเอง” ซึ่งหลังจากนั้นคุณแม่รายนี้ก็ได้ลงคลิปอีกครั้งเพื่อให้เห็นพัฒนาการของเด็กทารกตัวโตนี้ “เด็กทารกขนาด 6.6 กิโลกรัมของเรา เจเป็นเด็กวัย 5 ขวบที่มีสุขภาพดี ดื้อรั้นและแข็งแรง เขาชอบเล่นเบสบอล ฟุตบอล และรถบรรทุก”
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ดทารกที่มีน้ำหนักมากที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้นั้นอยู่ที่เมืองอาเวอซา ในประเทศอิตาลี ซึ่งเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2498 และมีน้ำหนัก 22 ปอนด์ 8 ออนซ์ หรือประมาณ 10.2 กิโลกรัม หากถ้าจะนับแค่ในออสเตรเลียก็คงจะหนีไม่พ้น “วิลโลว์” หนูน้อยที่เกิดมาพร้อมกับน้ำหนัก 6.6 กิโลกรัมเท่ากับลูกของคุณแม่เจ้าของติ๊กต็อกรายนี้ แต่แตกต่างกันตรงที่คุณแม่ของวิลโลว์นั้นคลอดแบบธรรมชาตินั่นเอง
ที่มา : dailymail
