เว็บไซต์ ซีเอ็นเอ็น CNN และเดอะมิร์เรอร์ mirror รายงานข่าวฮือฮาที่เมืองคาสติกลิโอนี ดิ ซิซิเลีย บนเกาะซิซิลี ทางใต้ของประเทศอิตาลี ประกาศขายบ้านร้างกว่า 900 หลัง ราคาหลังละราคาเพียงหลังละ 1 ยูโร หรือประมาณ 38 บาทเท่านั้น
เมืองนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาของภูเขาไฟเอตนา และอยู่ใกล้กับชายหาดฝั่งตะวันออกที่งดงามของเกาะซิซิลี ซึ่งบ้านเกินกว่าครึ่งนั้นอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมจนเหมือนเป็นซากปรักหักพังนั้น ประกาศขายในราคา 1 ยูโร แต่บ้านหลังอื่นที่มีสภาพดีกว่า จะราคามากกว่าแต่ยังขายในราคาต่ำ
ด้านนายกเทศมนตรี อันโตนินโอ คามาร์ดา ได้ดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อต่อลมหายใจและคืนชีวิตให้กับเมืองนี้อีกครั้งหลัง เพราะปัจจุบันมีผู้คนอาศัยอยู่ในเมองนี้เพียง 3,000 คน ซึ่งลดลงจาก 14,000 คน ในช่วงต้นทศวรรษ 1900
“เรามีมรดกทางสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องช่วยชีวิต สถานที่เหล่านี้อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนต่างทิ้งบ้านเก่า ๆ ที่แสนงดงามเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งหลายหลังนั้นสามารถย้อนไปได้ถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา” นายกเทศมนตรี กล่าว
นายกเล็กเผยด้วยว่า เจ้าหน้าที่เมืองศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการลงรายการทรัพย์สินแต่ละรายการตามแผนที่และข้อมูลทะเบียนที่ดินตามเงื่อนไขของอาคารเหล่านี้ โดยจะขายในราคาที่แตกต่างกัน แต่จะเริ่มต้นที่ 1 ยูโร หากบ้านหลังไหนมีผู้สนใจในทรัพย์สินเดียวกันหลายรายก็จะเปิดให้มีการประมูล
ทั้งนี้โครงการนี้เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดโดยมีอสังหาริมทรัพย์อย่างน้อย 400 แห่งในเมืองที่มีความสมบูรณ์เหมาะสมและต้องการการปรับปรุงใหม่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเมื่อซื้อบ้านและเป็นหนึ่งในผู้ร่วมโครงแล้วนั้นจะต้องซ่อมแซมและปรับปรุงบ้านให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี
โครงการนี้จะแตกต่างจากโครงการที่ผ่านมาตรงที่ว่าจะไม่มีการจ่ายเงินมัดจำ เพื่อเป็นประกันผลงาน แต่เจ้าของจะต้องทำกรมธรรม์จากธนาคารมูลค่า 4,000 ยูโร หรือประมาณ 1.5 แสนบาทแทน
รายงานระบุว้า โครงการนี้นั้นได้รับความสนใจจากประชาชนในและนอกเป็นประเทศเป็นอย่างมาก เพราะค่าของชีพบนเกาะซิซิลีนั้นอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ ในอิตาลี ซึ่งเมือง คาสติกลิโอนี ดิ ซิซิเลีย นั้นตั้งอยู่บนหน้าผาหินทางตอนเหนือของภูเขาไฟเอตนา
ทั้งยังตัดผ่านด้วยลำธารใสสระน้ำและน้ำตกเกิดจากลาวาภูเขาไฟที่แข็งตัว ภายในเมืองรายล้อมไปด้วยป่าไม้ สวนมะกอกสวนส้ม ไร่เฮเซลนัท และไร่องุ่น
เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองแห่งไวน์” เพราะมีการผลิตไวน์บรรจุในขวดแบบพรีเมียม โดยใช้องุ่นพันธุ์พื้นเมืองที่เติบโตขึ้นมาด้วยดินภูเขาไฟที่แสนจะอุดมสมบูรณ์
/////
