ย้อนรอยคดีฆาตกรรม ‘แม่มดแห่งมาเลเซีย’ ความเชื่อและมนต์ดำ จนนำไปสู่ความตาย ที่ทำให้หลายคนต้องขนลุก ต้นตำรับภาพยนตร์สยองขวัญสุดโหด ถูกแบนห้ามฉายไปหลายปี

ย้อนรอยคดีฆาตกรรมสุดโหดของมาเลเซีย “โมนา แฟนดีย์” ความเชื่อและมนต์ดำนำไปสู่การฆ่าหั่นศพ 18 ชิ้นสุดสยอง จนเรื่องราวถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ที่ทั้งสยองและสั่นประสาทจนถูกห้ามฉายไปหลายปี จะโหดและหลอนแค่ไหน มาอ่านเรื่องราวของเธอกัน

แม่หมอโมนา มีชื่อจริงว่า “มัซนาห์ อิสมาอิล” อดีตเคยเป็นนักร้องเพลงป๊อปของมาเลเซีย ฝากผลงานไว้มากมาย ตลอดเวลาการเป็นนักร้อง เธอมีความทะเยอทะยานและทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เป็นที่จดจำของผู้คน ต่อมาเธอได้แต่งงานกับ “เอฟเฟนดิ อับดุล ราห์มาน” แต่ทว่าความโด่งดังย่อมร่วงโรยไปตามกาลเวลา เธอจึงพยายามทำทุกทางให้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งแต่มันไม่ได้ผล จึงผันตัวเข้าสู่วงการไสยศาสตร์อย่างเต็มตัว จนมีลูกศิษย์มากมายใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย

โมนาสมัยที่ยังเป็นนักร้อง

เหล่าลูกศิษย์ของโมนาส่วนใหญ่เป็นบุคคลชนชั้นสูง ที่หวังรวยและมีอำนาจในทางลัด รวมไปถึงเหยื่อฆาตกรรมของเธอ “มัสลัน อิดริส” นักการเมืองไฟแรง ผู้รับสมัครเลือกตั้งท้องถิ่นในรัฐปะหัง ได้ติดต่อขอให้เธอช่วยเรื่องการงานของเขาด้วย ซึ่งเธอได้เสนอเครื่องรางไสยศาสตร์ให้แก่เขา เป็นแผ่นยันต์ที่อ้างว่ามีเส้นผมของอดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซียซูการ์โน เครื่องรางชิ้นนี้จะช่วยให้เขาแคล้วคลาดและอยู่ยงคงกระพัน

โมนาคิดค่าเครื่องรางดังกล่าว 2.5 ล้านริงกิต (ประมาณ 19 ล้านบาท) มัสลันตกลงที่จะรับมัน โดยเลือกจ่ายมัดจำเป็นเงินก้อนหนึ่งพร้อมกับโฉนดที่ดิน และสัญญาว่าหากทุกอย่างสำเร็จไปด้วยดี จะจ่ายเงินที่เหลือทั้งหมดให้ภายหลัง

ตามรายงานโมนาและเอฟเฟนดิวางแผนที่จะฆาตกรรมมัสลัน เพราะต้องการแก้แค้นที่ดินที่หายไป โดยการล่อลวงให้เขาไปที่บ้าน ด้วยข้ออ้างการทำพิธีกรรมเสริมโชคลาภ จนนำมาสู่คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ

ระหว่างพิธีโมนาให้อัสลันนอนราบลงกับพื้น และวางดอกไม้ลงบนตัวเขา จากนั้นก็บอกให้เขาหลับตา เธอโปรยดอกไม้ลงบนตัวเขา โดยให้เขานึกภาพตามว่า ดอกไม้เปรียบเสมือนเงินที่ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า แต่แทนที่จะเป็นดอกไม้ มันกลับกลายเป็นขวานแทน และนำชิ้นส่วนไปฝังในบ้านของเธอ

เรื่องที่มัสลันหายตัวไปเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับก่อนหน้าเขาได้ถอนเงินจำนวนมากจากธนาคาร ตำรวจจึงลงมือสอบสวนเรื่องราวดังกล่าว ขณะเดียวกันโมนากับเอฟเฟนดิก็ใช้ชีวิตอย่างหรูหราและฟุ่มเฟือย ทั้งศัลยกรรมและช้อปปิ้งมากมาย

ต่อมาจูไลมี ลูกน้องคนสนิทของโมนาถูกจับในคดียาเสพติด ทางตำรวจได้เข้าไปตรวจค้นที่บ้านของเขา และได้พบกับหลักฐานที่เชื่อมโยงไปยังการหายตัวของอัสลัน จึงทำการสอบสวนทันที และพุ่งเป้าไปยังสองสามีภรรยา

โมนาและเอฟเฟนดิ

วันที่ 22 ก.ค 2536 ตำรวจได้นำปฏิบัติการค้นหาที่บ้านของโมนา และพบชิ้นส่วนของมัสลันถูกฝังอยู่ในหลุมลึก 6 ฟุต นอกจากนี้ตำรวจยังพบสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมมากมาย ทั้งรูปปั้นของเทพ เส้นผม น้ำยาต่าง ๆ พร้อมกับพบมีดและขวานที่ใช้ในการก่อเหตุ จึงตามจับกุมสองสามีภรรยาทันที

ตลอดเวลาที่ถูกควบคุมตัวโมนาไม่มีท่าทีสลดแม้แต่น้อย เธอยังคงร่าเริง แต่งหน้าทาปาก สวมชุดสีสันสดใส เดินมาพร้อมกับรอยยิ้มอันสยดสยองทุกครั้งที่ปราฏตัวต่อสื่อ ราวกับพอใจที่ได้เป็นจุดสนใจของผู้คน

ศาลตัดสินว่าทั้งสามคนมีความผิดและต้องโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ พวกเขาได้พยายามยื่นอุทธรณ์เพื่อรับการลดโทษแต่ไม่เป็นผล สุดท้ายถูกประหารชีวิตในวันที่ 2 พ.ย. 2544 ที่เรือนจำ

เรื่องราวคดีฆาตกรรมสั่นประสาทครั้งนี้ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญของมาเลเซียเรื่อง “Dukun” ซึ่งสยองถึงขนาดที่ว่าภาพยนตร์ถูกแบนทันทีที่เข้าฉาย และถูกห้ามฉายนานถึง 11 ปี พร้อมสั่งให้ตัดต่อใหม่อีกครั้ง ก่อนจะนำออกมาฉายในปี 2561 และกลายเป็นที่พูดถึงของผู้คน ในเรื่องความโหด ความหลอน อย่างล้นหลาม

ขอบคุณที่มา www.nst.com

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน