เรียกว่าจัดเต็มครบเครื่องเลยก็ว่าได้ สำหรับ ‘ทริปโอซาก้า’ คิวนี้ ที่มีทั้งสาระและความสนุกมาให้บรรดาสายเที่ยวและผู้รักการกีฬาได้ฟินกันแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบ

เมื่อทริปที่ว่านี้เป็นการบินไปสัมผัสงานวิ่งระดับโลก ‘โอซาก้า มาราธอน 2017’ ที่เพิ่งเสร็จสิ้นเมื่อปลายเดือนพ.ย.

โดยผู้ใหญ่ใจดีแบรนด์กีฬาดังญี่ปุ่น ‘มิซูโน่’ สปอนเซอร์หลักของรายการ เชิญนักวิ่งไทยพร้อมผู้บริหารไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทในเครือสหพัฒน์ ในฐานะผู้นำเข้าและจำหน่ายสินค้ามิซูโน่ ไปร่วมชมและเชียร์กรีฑารายการใหญ่ของโลกด้วย

คุณใหญ่-ธรรมรัตน์ โชควัฒนา บอสหนุ่มคนขยันของไอ.ซี.ซี.ฯ ผู้บริหารแบรนด์มิซูโน่ไทย ไม่ยอมให้เสียเที่ยว พาสื่อมวลชนไทยอีก 6-7 สำนัก ทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวี และเว็บไซต์ ร่วมทริปด้วย

เยี่ยมชมสำนักงานใหญ่มิซูโน่ ณ นครโอซาก้า พบปะผู้บริหารญี่ปุ่น พูดคุยกับช่างทำรองเท้ามิซูโน่มา 40 กว่าปี

รวมถึงไฮไลต์ขายของ เปิดตัวรองเท้าวิ่ง ‘มิซูโน่ เวฟ ไรเดอร์ 21 รุ่นโอซาก้า’ ซึ่งเป็นรุ่นลิมิเต็ด ฉลองมหกรรมการวิ่งครั้งใหญ่ประจำปีของนครโอซาก้านี้อีกด้วย

ชูนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่โดดเด่น ทนทาน พื้นบางเบา สวมใส่สบาย พร้อมจุดขายเรื่องดีไซน์ลวดลายสีสันบนรองเท้าที่แซ่บสะดุดตา สั่งมาขายในไทยแค่ 200 คู่ คู่ละ 5,490 บาท

เห็นมั้ยคนญี่ปุ่นที่ว่าขายของเก่ง แต่ผู้บริหารไทยก็ไม่ยิ่งหย่อน

สำหรับสนามมาราธอนที่นี่ บอกเลยไม่ธรรมดา กฎกติกาเข้มมาก คนสมัครแสนกว่าคัดเหลือ 3 หมื่น นักกีฬาต้องแข็งแกร่งจริงๆ มีใบรับรองแพทย์ยืนยัน เพราะเป็นการวิ่ง ‘ฟูล มาราธอน’ ระยะ 42.195 ก.ม. ถ้าใครไม่ฟิตสตรอง ไม่ถึงเส้นชัยแน่นอน

งานนี้คนโอซาก้าเองก็ตื่นเต้นและจริงจัง ถึงขั้นปิดถนนกลางเมืองเชียร์ โดยจุดสตาร์ตอยู่ที่ปราสาทโอซาก้า จุดสิ้นสุดหน้าสำนักงานใหญ่มิซูโน่ ระหว่างทางมีกองเชียร์ตามให้กำลังใจเป็นระยะๆ บางคนถึงขั้นทำป้ายไฟอย่างเก๋

อย่างไรก็ตาม การวิ่งก็มีระยะ 10 ก.ม. เปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วม ตรงนี้แหละที่เป็นไฮไลต์และสีสันสนุกสนาน โดยเฉพาะบริเวณจุดสตาร์ตจะเห็นนักวิ่งจำนวนไม่น้อยแต่งมาสคอตประชันกัน ประมาณว่าเอาฮาไว้ก่อน วิ่งรอดหรือเปล่าอีกเรื่อง

นอกจากนี้ยังเชิญคนสูงอายุและคนพิการเข้าร่วม สื่อให้เห็นว่าเป็นรายการวิ่งสำหรับทุกคน และทุกคนเท่าเทียม

มาที่เรื่องสภาพอากาศซึ่งหลายคนสนใจ ช่วงปลายเดือนพ.ย.เหมาะเจาะดีเยี่ยม อุณหภูมิเลขตัวเดียว เย็นได้ใจแต่ไม่ถึงกับหนาวเหน็บทุรนทุราย ขณะเดียวกัน วันจัดงาน 26 พ.ย. ก็ท้องฟ้าโปร่ง ยิ่งตอนปล่อยตัวนักกีฬา 9 โมงเช้า ไม่นานก็มีแสงแดดอุ่นๆ เติมแรงวิ่งฉิวๆอัดสปีดเพลินๆ

ที่สำคัญเป็นช่วงไม้ผลัดใบในญี่ปุ่นพอดี เพิ่มสีสันโอซาก้าให้ดูมีมนต์เสน่ห์ ทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยสีส้ม เหลือง แดงของใบไม้ เข้าทาง ‘สายเที่ยว’ ได้แชะรูปเซลฟี่สวยๆ อัพโชว์โซเชี่ยลเรียกไลก์กระจาย

การแข่งขันจบที่ฝ่ายชาย นักวิ่งจากเอริเทรีย ประเทศในแอฟริกา เข้าเส้นชัยในเวลา 2 ชั่วโมง 12 นาที ส่วนฝ่ายหญิง ญี่ปุ่นคว้าแชมป์ 2 ชั่วโมง 35 นาที

ขณะที่ตัวแทนไทย อาจารี เกียรติเฟื่องฟู ทำเวลา 4 ชั่วโมง 53 นาที, วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู 5 ชั่วโมง 16 นาที และ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียนนามปากกา ‘นิ้วกลม’ 5 ชั่วโมง 51 นาที

เสร็จจากงานวิ่ง บอสไอ.ซี.ซี.ฯ จัดปาร์ตี้ฉลองชนิดหายเหนื่อย เป็นอันจบโหมดสาระการกีฬา เข้าสู่วาระบันเทิงเริงรมย์ ออกไปรับบรรยากาศ ‘เหมันต์นคร’ สัมผัสความโรแมนติกของไม้เปลี่ยนสี

ตอกย้ำความครบเครื่องจัดเต็มของทริปนี้

สถานที่ใกล้ๆโอซาก้านี่แหละ คือ เกียวโต เมืองหลวงเก่าญี่ปุ่น และ โกเบ เมืองท่าเชิงพาณิชย์ โด่งดังเรื่องเนื้อโกเบ ซึ่งเกียวโตนั้นห่างจากโอซาก้า 80 ก.ม. ขณะที่โกเบ (พูดแล้วน้ำลายไหลเมนูเนื้อ) ไกลกัน 30 ก.ม.

ที่เกียวโต โปรแกรมหลักๆคือการท่องธรรมชาติ ชมสีสันใบไม้ตามขุนเขาและแม่น้ำลำธาร ก็เดินทางทั้งทางเรือและรถไฟ เริ่มจากล่องเรือตามแม่น้ำ ‘โฮซุกาวะ’ ทางตะวันตกของเกียวโต ลงมาถึงย่าน ‘อาราชิยามะ’ ที่มีวิวทิวทัศน์สวยโรแมติก ซึ่งอดีตเคยเป็นที่พักตากอากาศของชนชั้นสูงในสมัยเฮอัน

เรือที่เรานั่งเรียกว่า ‘คาวาคุดาริ’ รูปทรงคล้ายๆเรือแจวบ้านเรา แต่ใหญ่กว่า ลำนึงจุคนได้ 20 กว่าๆ มีคนพายนั่งบนหัวเรือ และผู้ช่วยอีกหนึง คอยใช้ไม้ค้ำกันเรือไม่ให้ชนโขดหิน เพราะบางจุดน้ำเชี่ยวกราก ประมาณน้องๆล่องแก่งบ้านเรา พอให้ตื่นเต้นหวาดเสียว

แต่ฮาสุดต้องยกให้คนพาย ขณะแจวเรือก็พยายามหา ‘สตรอรี่’ เพิ่มอรรถรสการล่องเรือให้กับลูกทัวร์ ชี้ให้ดูวิวสวยๆ ปล่อยมุขโน่นนี่ แถมยังมโนก้อนหินริมตลิ่ง ว่าเป็นรูปตัวต่างๆ ไม่ว่า สนูปี้ นก หรือแม้กระทั่งขนมวาฟเฟิล พี่แกก็งัดมาเล่น

จากนั้นเป็นคิวขึ้นบก เดินชมวัดเก่านิกายเซน ‘เทนริวจิ’ ดูศิลปะการจัดสวนโบราณ บอกเลยใครที่ชอบถ่ายรูป ตามหาช็อตสวยๆของไม้เปลี่ยนสี ห้ามพลาดที่นี่เด็ดขาด

แล้วที่ข้างๆวัด เดินต่ออีกนิดก็ถึงป่าไผ่อันเลื่องชื่อ ต้นไผ่ลำไม่ใหญ่ แต่ขึ้นสูงเหยียดตรงเป็นทิวแถวยาวตลอดสองฝั่งทางเดิน ยิ่งเวลาลมพัดแล้วไผ่ลู่ลม งดงามประดุจภาพในฝัน

ปิดท้ายนั่งรถไฟสายโรแมนติก ลัดเลาะเทือกเขา เบื้องล่างจะเห็นแม่น้ำที่เราเพิ่งล่องเรือกันมา เป็นอีกมุมแห่งมหัศจรรย์ความงาม สำหรับรถไฟขบวนนี้ออกแนววินเทจ ตัวโบกี้เป็นไม้ทาสีชมพู นักท่องเที่ยวนิยมกันมาก โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว จองตั๋วข้ามเดือนกันเลยทีเดียว

ขณะที่เมืองโกเบ การเที่ยวคนละอารมณ์ ขึ้นกระเช้าลอยฟ้าชมเมือง ข้างบนมีสวนสมุนไพรใหญ่สุดในญี่ปุ่นชื่อ ‘โนนุบิกิ’ และมีจุดชมวิวมุมกว้างผ่านกล้องส่องทางไกลด้วย

แต่โปรแกรมเรียกไลก์ต้องนี่เลย ชิมสุดยอดของอร่อย ‘เทปปันยากิเนื้อโกเบ’ แล้วเดินย่อยช็อปปิ้งย่าน ‘ซันโนมิยะ’ กลางเมืองโกเบ ซึ่งละลายทรัพย์หมู่เฮาตัวเบาหวิว

สุดท้ายคิวสั่งลาญี่ปุ่น กลับมาที่โอซาก้า ว่าด้วยเรื่องช็อปปิ้งล้วนๆ เช้าเดินตลาดสด ‘คุโรมง’ ซื้อของสดอาหารทะเลที่เขาปิ้งย่างทำขายกันสดๆ ซึ่งตลาดของเขาเลอค่าที่สุด สะอาดหรูระดับพรีเมี่ยม ไม่เฉอะแฉะ สกปรก เหม็นแหวะ

เดินชิมพุงกางจนต้องแอบปลดตะขอ ก็ได้เวลาช็อปทิ้งทวนที่ย่าน ‘นัมบะ’ และ ‘ชินไซบาฉิ’ ซึ่งดังระเบิดเถิดเถิงมาถึงไทย นอกจากเป็นแหล่งรวมสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง หยูกยา ขนมนมเนย ร้านปิ้งย่างชาบูแล้ว บนตึกยังเต็มไปด้วยป้ายสามมิติเก๋ๆ

นั่นแหละ..จุดแชะ-เช็กอินขวัญใจมหาชน โดยเฉพาะป้ายนักวิ่ง ‘กูลิโกะ’ เซลฟี่ตัวจริงระดับตัวแม่ย่อมไม่พลาด มิเช่นนั้นเหมือนมาไม่ถึงโอซาก้า

ถึงเส้นชัยการช็อปปิ้ง ทำลายเหรียญเยนเกลี้ยงกระเป๋าแล้ว มารู้ตัวอีกทีว่าเท้าบวมก็ตอนนั่งเครื่อง แต่พอได้เอนหลัง ยืดๆเหยียดๆ สัก 5 ชั่วโมงกว่าก็ถึงสุวรรณภูมิ หายปวดเมื่อยพอดี

หยิบนาฬิากาข้อมือมาตั้ง ปรับเวลาลดลง 2 ชั่วโมง ก็พร้อมแล้วสำหรับการกลับมาเริ่มต้นที่เมืองไทย

คติพร ดลกิจ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน