การแปรงฟันวันละ 2 ครั้งถือเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากที่สำคัญ แต่รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ซุกซ่อนในขนของแปรงสีฟันนั้นมีมากเกินกว่าที่คิด

ดร.อุเพน วิธลานี ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมและสุขภาพช่องปาก เปิดเผยว่าแปรงสีฟันสามารถปนเปื้อนได้หลายวิธี ซึ่งแปรงสีฟันเพียงอันเดียวสามารถเก็บสะสมแบคทีเรียได้มากกว่าสิบล้านตัว เช่น E.Coli ที่ทำให้ท้องร่วง ปวดท้อง ตะคริว และมีไข้ต่ำ Streptococci ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง และ Staphylococcus

ตามรายงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์และมหาวิทยาลัยอลาบามาในเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ สิ่งที่น่ากลัวกว่าแบคทีเรียก็คือ การพบว่ามีเชื้อโรคและอุจจาระบนขนแปรงสีฟันจากโถส้วมแบบเปิดโล่ง การกดชักโครก หรือสารปนเปื้อนจากสเปรย์ฉีดห้องน้ำซึ่งลอยอยู่ในอากาศนานพอที่จะตกตะกอนบนพื้นผิวห้องน้ำ

แต่ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกหรือตกใจ เพราะปากของคนเต็มไปด้วยแบคทีเรีย นี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงจะต้องแปรงฟันให้สะอาดและเก็บรักษาแปรงสีฟันให้ถูกวิธี

ดังนั้น ทางทีมข่าวสดขอเสนอเคล็ดลับการดูแลและจัดเก็บแปรงสีฟันอย่างเหมาะสมเพื่อลดโอกาสการเจ็บป่วย ทำให้ทุกท่านจะลืมกฎ 5 วินาทีที่ว่าเชื้อโรคไม่เห็น หากทำแปรงสีฟันหล่นบนพื้นไปได้เลย

1. ล้างแปรงสีฟันให้สะอาดด้วยน้ำประปาทุกครั้งที่ใช้ เพื่อช่วยกำจัดเศษอาหารตกค้าง หากใช้เสร็จแล้วควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าแปรงสีฟันจะมีโอกาสแห้งสนิท พร้อมหลีกเลี่ยงใช้ผ้าเช็ดแปรงสีฟัน เพราะจะสร้างแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคและแบคทีเรียที่ชอบสภาพแวดล้อมที่ชื้น

2. ตำแหน่งการเก็บแปรงสีฟันเป็นสิ่งสำคัญ การวางแปรงสีฟันไว้ที่อ่างล้างหน้าหรือในแก้วน้ำไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมนัก เพราะแบคทีเรีย เชื้อโรค และละอองอุจจาระสามารถเกาะบนขนแปรงสีฟันได้

ดังนั้น ขอแนะนำให้เก็บใส่กล่องหรือที่เก็บแปรงสีฟันเฉพาะในลักษณะที่ตั้งตรงแทนการวางแนวนอน จากนั้นปิดฝาชักโครกทุกครั้ง เพื่อลดการแพร่กระจายของแบคทีเรียบนแปรงสีฟันของคุณ

3. ทำความสะอาดที่ใส่แปรงสีฟันเสมอ จากการศึกษาโดยมูลนิธิสุขาภิบาลแห่งชาติ (NSF) พบว่าที่ใส่แปรงสีฟันเป็นของใช้ในครัวเรือนที่มีเชื้อโรคมากเป็นอันดับสามและสามารถดักจับแบคทีเรียที่แพร่กระจายจากการกดชักโครก ดังนั้น อย่าลืมทำความสะอาดที่วางแปรงสีฟันเป็นประจำเพื่อกำจัดเชื้อโรค

4. เปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3 – 4 เดือน เพื่อสุขอนามัยที่ดีของช่องปาก American Dental Association (ADA) แนะนำว่าถ้าขนแปรงหลุดลุ่ยควรเปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างไม่เสียดายทันที รวมถึงหัวแปรงสีฟันไฟฟ้าด้วย ซึ่งแปรงสีฟันสำหรับเด็กอาจต้องเปลี่ยนบ่อยกว่าแปรงของผู้ใหญ่

5. การแช่แปรงสีฟันในน้ำยาบ้วนปากต้านเชื้อแบคทีเรีย American Dental Association (ADA) ระบุว่าอาจลดจำนวนแบคทีเรียบนแปรงสีฟัน อย่างไรก็ตาม งดการฆ่าเชื้อแปรงสีฟันด้วยไมโครเวฟ เพราะแปรงสีฟันส่วนใหญ่ไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อให้ทนทานต่อสภาวะเหล่านี้ และอาจทำให้แปรงเสียหายและประสิทธิภาพลดลง

6. ห้ามใช้แปรงสีฟันร่วมกันหรือวางแปรงสีฟันใกล้กัน เมื่อใดก็ตามที่แปรงสีฟันหลายแท่งสัมผัสกันจะสามารถแลกเปลี่ยนเชื้อโรคภายในช่องปากของแต่ละบุคคลได้

7. ใช้แปรงสีฟันที่มีคุณสมบัติต้านจุลชีพ เพื่อการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ผู้เชี่ยวชาญของ Atomy แนะนำให้ใช้แปรงที่ส่วนผสมของผงทองคำ โดยพวกเขาอธิบายว่า ทองคำประกอบด้วยอนุภาคนาโนที่ต้านเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติ และเป็นวัสดุเฉื่อยทางเคมีหรือวัสดุที่มีความไวต่อปฏิกิริยาต่ำ ซึ่งหมายความว่าจะไม่ทำปฏิกิริยาหรือเปลี่ยนแปลงเมื่อสัมผัสกับสิ่งมีชีวิต

“การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอนุภาคนาโนที่เฉื่อยทางเคมีเหล่านี้สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ด้วยกลไกทางกายภาพที่ทำให้ผนังเซลล์เสียรูป” พร้อมทั้งยังแนะนำว่าขนแปรงที่บางมากจะช่วยทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกและจำกัดความเสียหายที่เกิดกับบริเวณเหงือก

แปรงสีฟันสามารถทำให้ป่วยได้หรือไม่? ไม่ว่าคุณจะมีแบคทีเรียอยู่ในปากหรือแปรงสีฟันมากแค่ไหนก็ตาม การป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายทำให้คุณมีโอกาสติดเชื้อจากการแปรงฟันได้น้อยมาก

ทุกครั้งที่คุณไม่อยากแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้คิดเสมอว่าแบคทีเรียที่แฝงตัวอยู่ในปากของคุณมีกี่ชนิดและสามารถทำอะไรได้บ้าง

นอกจากนี้ ทันตแพทย์ คิมเบอร์ลี ฮาร์มส ที่ปรึกษาของ ADA แนะนำให้แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และการบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ต้านเชื้อแบคทีเรียก่อนแปรงฟันยังช่วยขจัดแบคทีเรียก่อนอีกด้วย โปรดตะหนักถึงความสำคัญของเก็บแปรงสีฟัน

ขอบคุณที่มาจาก The Sun On Health Periodontal

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน