มาตรการล็อคดาวน์ในปี 2563 – 2564 ที่ผ่านมาทำให้วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปมากมาย หนึ่งในนั้นที่เกิดขึ้น คือ การทำงานที่บ้าน (work from home) และเมื่อต้องกลับไปทำงานแบบเดิม การทำงานแบบ “ไฮบริด” จะช่วยให้พนักงานปรับตัวได้ง่ายขึ้น หลังจากที่เคยชินกับการทำงานที่บ้าน

แนวคิดของการจัดเวลาทำงานแบบ “ไฮบริด”

คือ การแบ่งสัดส่วนของการเข้าสำนักงานและการทำงานจากที่บ้าน เพื่อประนีประนอมความพึงพอใจของทุกฝ่าย และยกระดับประสิทธิภาพของการทำงานภายใต้วิกฤตการระบาดของโควิด-๑๙ โดย

  1. งานหนัก ซึ่งต้องใช้สมาธิมาก ควรทำที่บ้านจึงจะดีที่สุด
  2. งานร่วมกัน ซึ่งต้องประสานกับเพื่อนร่วมงานที่หน้างานก็ควรทำในที่ทำงาน
  3. เพิ่มเวลาพักในช่วงบ่ายเพื่อช่วยลดความเครียดในการเข้าที่ทำงาน ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กร

แนวโน้มของการทำงานแบบ “ไฮบริด” ได้รับความนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากการสำรวจพบว่าร้อยละ ๖๐ ของชาวอเมริกันทำงานที่บ้านชอบเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น ไม่ต้องอยู่ในสายตาของหัวหน้า ในทางตรงกันข้ามผู้ที่เป็นหัวหน้างานกลับไม่ชอบการทำงานจากที่บ้าน และองค์กรต่าง ๆ ก็รู้สึกว่าการใช้เวลานอกสำนักงานมากเกินไปส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานและวัฒนธรรมองค์กรอีกด้วย

ผลการสำรวจจากเว็บไซต์ Glassdoor ซึ่งให้พนักงานลงคะแนนให้นายจ้าง ระบุว่าลูกจ้างพึงพอใจกับบริษัทที่จัดเวลาการทำงานแบบ “ไฮบริด” มากกว่า ในขณะที่การสำรวจของ Gallup พบว่า “การมีส่วนร่วม” ของพนักงานมากเป็นประวัติการณ์ สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า

รูปแบบการทำงานแบบ “ไฮบริด” ต้องอาศัยหัวหน้างานที่มีทักษะที่แตกต่างจากเดิม ผู้บริหารที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการจัดสรรงานหรือกระจายงานให้สอดคล้องกับเนื้องาน ความเร่งด่วนและความถนัด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าองค์กรกำลังจะเคลื่อนสู่การเป็นดิจิทัลมากขึ้น นอกจากนั้น องค์กรจำเป็นต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมและสวัสดิการ

เพื่อกระตุ้นให้พนักงานเกิดความกระตือรือร้นที่จะเข้ามานั่งทำงานเหมือนปกติ ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องพัฒนากฎหมายการจ้างงานและปกป้องลูกจ้างที่ทำงานจากที่บ้านด้วย นอกจากนี้ ยังมีแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยส่งเสริมการกลับเข้าที่ทำงานของพนักงาน คือ

  • กำหนดนโยบายการทำงานแบบ “ไฮบริด” ให้ชัดเจน : ควรมีหลักการที่ชัดเจนว่าพนักงานจำเป็นที่จะต้องเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศมากน้อยเท่าไร แผนกที่สามารถทำงานจากภายนอกได้และแผนกที่ทำไม่ได้ นอกจากนั้น ควรให้หัวหน้าแผนกจัดอิสระให้เหมาะสมกับลักษณะงาน และกำหนดช่วงเวลาการทำงานจากข้างนอกให้ชัดเจน เพื่อให้พนักงานเห็นภาพรวมและรักษากฎระเบียบ
  • ลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยีและเครื่องมือต่าง ๆ: องค์กรควรจัดเตรียมในเรื่องของอุปกรณ์จำเป็นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของพนักงานให้พร้อม
  • ปรับผังพื้นที่ทำงานภายในออฟฟิศ: ใช้โอกาสที่พนักงานบางส่วนทำงานจากที่บ้านเพื่อประเมินเรื่องการจัดพื้นที่ เช่นการปรับลดโต๊ะทำงานประจำลงและเพิ่มโต๊ะทำงานส่วนกลาง โดยเว้นระยะห่างโต๊ะทำงานเพื่อให้ตอบโจทย์การเว้นระยะทางสังคม
  • ยืดหยุ่นต่อการปรับตัวของพนักงาน: องค์กรไม่ควรอย่าเรียกร้องให้พนักงานกลับไปทำงานห้าวันต่อสัปดาห์พร้อมกันในทีเดียว ควรปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้พนักงานเข้าที่ทำงาน ๑ วันต่อสัปดาห์หรือ ๒ วันต่อสัปดาห์ และสลับวันเว้นวันจนกระทั่ง ๕ วันในที่สุด
  • ส่งเสริมสุขภาพจิต สร้างพื้นที่ปลอดภัย: องค์กรต้องยอมรับว่าทุกคนผ่านความบอบช้ำทางจิตใจมา และยากที่จะกลับไปใช้ชีวิตประจำวันเหมือนก่อนหน้านี้ได้ แม้ผ่านช่วงการล็อคดาวน์ไปแล้ว และควรกำหนดเป็นนโยบายของฝ่ายทรัพยากรบุคคลในการจัดหานักจิตวิทยาองค์กรเพื่อดูแลพนักงานด้านสุขภาพจิต ซึ่งจะทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยยิ่งขึ้น

ที่มา: ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน