คอลัมน์ ขนหัวลุก

ใบหนาด

“ชงโค” เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากมหาสารคาม

“ขับเร็ว-ตายเร็ว!!”

บรรดาคำ (เขย่า) ขวัญที่ติดป้ายแพรวพราวริมถนนทั่วประเทศ ดิฉันมาสะดุดตาและสะดุดใจที่ขอนแก่น แหม…ต้องยอมรับว่าชอบอกชอบใจคำขวัญสั้นๆ ชิ้นนี้มากที่สุดเลยค่ะ

คำสั้นๆ จำง่าย สื่อสารตรงไปตรงมา เห็นครั้งเดียวจำได้ทันที

น่าเศร้าที่บรรดาตีนผีตีนปีศาจไม่สนใจแยแส คิดท่าเดียวว่าข้าแน่ ข้าเก่ง รอดตายมานับครั้งไม่ถ้วน จนสถิติคนบาดเจ็บล้มตายเพราะอุบัติเหตุปีใหม่ปีนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกับปีกลายปีก่อนๆ เพราะความประมาทนี่เอง

ที่น่าสลดใจก็คือไม่ใช่แค่ตัวเองกับผู้คนในรถไม่ว่ารถใหญ่หรือรถเล็ก โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่ครองแชมป์อุบัติเหตุ ทำให้คนเจ็บคนตาย หรือกลายเป็นคนพิกลพิการมากที่สุด แต่ยังทำให้คนอื่นๆ ที่ตามหลังกับสวนทางมา ต้องประสบกับชะตากรรมน่าสลดใจไปด้วยโดยไม่มีความผิดนี่ซีคะ

ไหนจะชนคนตาย ไหนจะต้องสยดสยองไปกับภาพแหลกเหลวเละเทะ ของทั้งรถยนต์และร่างกายของเพื่อนมนุษย์ที่แทบจะเหลือแต่ซาก

คอขาด แขนขาด แข้งขาไปอีกทาง เลือดแดงฉานไหลนองตามท้องถนนราวกับลำธารโลหิตยังไงยังงั้น!

เทศกาลปีใหม่ผ่านไปครั้งใด ดิฉันต้องหวนนึกไปถึงประสบการณ์ขนหัวลุกของตัวเอง แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีแล้วตั้งแต่ยังไม่รณรงค์เรื่องนี้จริงๆ จังๆ ราว กับมันเพิ่งเกิดขึ้นหยกๆ ไม่กี่วันนี่เอง

ปีนั้นครอบครัวเราขับรถไปฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิดสามี จังหวัดมหาสารคาม หรือนครตักศิลาเพราะมีสถานศึกษามากมายที่สุดในภาคอีสาน

เราเจอะเจอกับเหตุการณ์น่าสยดสยองที่สุดในชีวิตช่วงเดินทางขาไปนั่นเอง!

สามีขับรถนั่งคู่กับลูกชายวัย 8 ขวบ ส่วนดิฉันนั่งหลังกับลูกสาวคนเล็กวัย 5 ขวบ ตอนออกจากกรุงเทพฯ ช่วงบ่ายก็ยังคุยกันสนุกสนานดีหรอกค่ะ แต่เมื่อไปทานอาหารเย็นที่สีมาธานี และออกเดินทางต่อได้ไม่นานก็เริ่มโพล้เพล้แล้ว ทราบแต่สามีบอกว่าจะใช้ทางลัดเพื่อหลีกเลี่ยงรถติด

เสียงพูดคุยเงียบหาย เราแม่ลูกทั้งสามคนเข้าตำราหนังท้องตึง-หนังตาหย่อน เพราะหมี่ผัดโคราชอร่อยมาก แถมตบท้ายด้วยไอศกรีมคนละถ้วยอีกค่ะ

คลับคล้ายคลับคลาว่ารถแล่นเร็วแม้จะเป็นเลนเดียว สองข้างทางมืดสลัว ลมพัดแรงดังเข้ามา…ดิฉันคงจะกอดลูกเคลิ้มหลับไปนาน มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เพราะรถเบรกอย่างแรงแทบหัวคะมำ ลืมตาโพลงก็พบว่าลูกสาวหลับอยู่กับตัก ส่วนลูกชายเพิ่งจะงัวเงียขึ้นมา

“เกิดอุบัติเหตุข้างหน้า”

เสียงสามีทำให้ประสาทตื่นตัวเต็มที่ ตอนนั้นรถเราชะลอจนใกล้จะหยุดอยู่แล้ว ครั้นชะเง้อมองไปตามแสงไฟหน้ารถก็เสียววาบไปตามไขสันหลัง ขนลุกซ่า หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นชั่วขณะ

รถบรรทุกหลุดลงไปตะแคงเค้เก้อยู่ริมทาง ใกล้ๆ กันมีรถกระบะพังยับเยินจนดูเหมือนจะเหลือแต่ซาก ศพเกลื่อนกลาดตามข้างถนน ทั้งหญิงและชายล้วนแต่หน้าตาเนื้อตัวเละเทะ แขนขาขาดน่าสยอง…แว่บเดียว ที่เห็นก็รู้แน่ว่าผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว

เลือดแดงฉานไหลนองเต็มถนนไปหมด เหมือนใครเอาน้ำสีแดงๆ ที่ทั้งข้นและเหนียวมาสาดไว้กระนั้น!

ดิฉันใจหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม บอกสามีเสียงสั่นเครือว่าให้รีบขับผ่านไปเถอะ เพราะเราช่วยเหลืออะไรพวกเขาไม่ได้แล้ว นอกจากจะรอเจ้าหน้าที่ตำรวจกับมูลนิธิมาช่วย…แต่สามีกลืนน้ำลาย ออกรถช้าๆ ตอบด้วยเสียงแหบแห้งว่า

“ดูเหมือนจะเกิดเหตุตั้งนานแล้ว ทำไมไม่มีใครมา…”

เสียงนั้นขาดหายเมื่อมีเสียงยอดไม้สะบัดกิ่งใบเกรียวกราว ราวกับเป็นเสียงใครกำลังหัวเราะอย่างครื้นเครง…ดิฉันปากคอแห้งผาก หันขวับไปมองข้างหลังด้วยแรงสังหรณ์อะไรบางอย่าง…แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย

อีกราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านสามี…มองดูล้อรถทั้งสี่ไม่มีเปื้อนเลือดแม้หยดเดียว!

หลังจากกราบไหว้ทักถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว ดิฉันก็เล่าเรื่องสยองขวัญที่เพิ่งประสบมาหยกๆ เล่นเอาพ่อแม่หันมองหน้ากัน…หน้าตาซีดเซียวทั้งคู่ เล่าว่ารถกระบะโผล่ออกจากซอยเล็กขึ้นถนนกะทันหัน โดนชนโครมตายหมดทั้งคันรวม 7 คน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อตอนสายๆ นี่เอง…ภาพที่ดิฉันกับสามีและลูกชายเห็นเต็มตามาไม่นานคืออะไรล่ะคะ? นึกแล้วขนหัวลุกค่ะ!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน