“นทธี ศศิวิมล”

ตอนผมทำงานบริษัทฝรั่งเมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน ตอนนั้นทางบริษัทมีฝรั่งเยอรมันมาทำงานด้วย เขามีบุคลิกที่โดดเด่น คือ เป็นฝรั่งที่ตัวเล็ก ชอบดื่มเบียร์ เขาติดใจเบียร์ไทยมาก บอกว่าแรงและเมาดี มาเมืองไทยสองสามอาทิตย์แรกเมากับผมแทบทุกวันหลังเลิกงาน

จนกระทั่งบริษัทส่งเขาไปเป็นผู้จัดการใหญ่ประจำจังหวัดหนึ่งทางอีสาน หลังจากทำงานได้ครบเดือนแรกซึ่งว่าไปก็ไม่ใช่การทำงานหรอก เหมือนเดือนแรกมาเรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณี มารู้จักคนไทยมากกว่า เขาบอกเขาชอบเมืองไทยมาก แม้อากาศจะร้อนไปหน่อยก็เถอะ

ผมเป็นคนขับรถไปส่งเขาถึงมหาสารคามเอง บริษัทเพิ่งเปิดสาขาใหม่ทางภาคอีสาน ซึ่งผมก็แปลกใจว่าทำไมไม่ส่งเขามาอยู่ทางอีสานแต่แรก แต่กลับให้อยู่กรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯ กับอีสานมันต่างกัน

อาทิตย์แรกผมขับรถไปหาเขาในวันอาทิตย์วันหยุด เขามีบ้านพักในตัวเมือง ค่อนข้างหรูหราและสบาย มีคนรับใช้และคนขับรถให้ เรื่องอาหารการกินทาง บริษัทก็มีคนทำอาหารมาส่งถึงบ้านทุกสามมื้อ เขาพอใจมาก บอกว่าเหมือนตัวเองเป็นพระเจ้า คนไทยใจดีมาก ต้อนรับเขาดี

ผมแวะไปหาเขาอีกสองอาทิตย์ถัดมา เมื่อไปหาเขาที่บ้านพัก กลับไม่พบ คนรับใช้แจ้งว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาชอบไป นอนที่โรงแรมกลางใจเมือง วันๆ ก็ไม่พูดไม่จา ไม่ทักทายผิดกับตอนมาใหม่ๆ ผมถามหาคนขับรถ เขาบอกว่าฝรั่งได้ส่งคนขับรถคืนบริษัท เพราะที่พักใหม่คือโรงแรมในตัวเมือง แค่เดินสองร้อยเมตรก็ถึงที่ทำงานแล้ว

เมื่อผมไปหาถึงที่ทำงานผมก็พบกับสภาพหน้าตาของเขาที่ดูทรุดโทรมมาก แค่สองอาทิตย์ที่ไม่ได้พบกัน ทำไมช่างดูแตกต่างและเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

“ยูไม่สบายหรือเปล่า” ผมถาม

เขาสั่นหัว และตลอดเวลาเขาเหมือนจะหวาดกลัวและหวาดระแวงมาก สักพักก็จะหยิบกระติก อะลูมิเนียมซึ่งบรรจุเบียร์ขึ้นมาจิบ เขาทำแบบนี้จนดูไม่น่าจะทำงานได้ เขานั่งหน้ากองเอกสารที่ต้องอ่าน ต้องลงนาม ผมออกจากห้องถามเรื่องของเขากับบรรดาพนักงาน หลายคนก็ว่าเขาดูแปลกไป ไม่เหมือนอาทิตย์แรกที่มาทำงาน เหมือนเป็นคนละคนกันเลย

ผมตามเขากลับไปที่ห้องพักในโรงแรม พยายามชวนเขาคุยเขาก็มีท่าทีร้อนรน หวาดกลัว ราวกับคนติดยาที่ขาดยา แตไม่ใช่หรอก เมื่อเขาพูดว่า “มันกำลังติดตามผม” ผมก็รู้ว่าเขาไม่ปกติแล้ว

“ใคร ติดตามคุณ”

“ไอ้หมาบ้า ไอ้หมาตัวนั้น”

“หมา หมาตัวไหน หมาอะไรของคุณ”

“หมาตัวนั้นไง มันตามเห่าตามหอนใส่ผมมาตลอดทั้งสัปดาห์” พูดจบเขาก็ชี้ไปทางหน้าต่าง “นั่นไง มันมาแล้ว” แต่ผมกลับไม่เห็นอะไรเลย เขาลุกขึ้น เดินถอยหลัง เหงื่อตก ท่าทางตื่นกลัว “คุณต้องช่วยผมนะ มันจะฆ่าผม นั่นไง มันกำลังจะพุ่งมาหาผม ช่วยผมด้วย” เขาตะโกนเสียงดัง ผมต้องเข้ารวบตัวเขาไว้แล้วห่มมัดด้วยผ้าปูเตียง ผมกดโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่โรงแรมด้านล่าง ไม่นาน เจ้าหน้าที่ผู้ชายก็ขึ้นมากันสองคน

คนหนึ่งบอกให้พาไปโรงพยาบาลดีกว่า แล้วเขาก็เล่าว่า “เมื่อคืนเขาก็เป็นแบบนี้ พอดีมีหมอจาก โรงพยาบาลหนึ่งมาพักแล้วโทร.เรียกกู้ภัยมา แต่ฝรั่งไม่ยอมไป เขาหลับจนถึงเช้าแล้วก็ไปทำงาน”

ผมถาม “เขาบอกว่าเห็นหมาจะมาทำร้ายเขา”

“ใช่ๆ เมื่อวานก็พูดแบบนี้”

“หรือจะเป็นไอ้คิ้วหงอก” เจ้าหน้าที่ชายอีกคนพูดขึ้น

“อะไรนะ” ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดหรือเปล่าจึงทวนชื่อนั้นอีกครั้ง

“อ๋อ มันเป็นชื่อหมาจรสี่แยกหน้าวัดครับ ชาวบ้านเรียกมันว่าไอ้คิ้วหงอก เพราะมันมีคิ้วหงอกขาวจริงๆ ดูแล้วตลกดี ทั้งๆ ที่เป็นหมาหนุ่ม นายฝรั่งคนนี้ขับรถไปชนมันเข้า คืนนั้นไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ มีคนเห็นเขาลงมาดูไอ้คิ้วหงอกด้วยท่าทางที่เมามาก ดูแล้วก็ขึ้นรถขับไป”

สี่แยกหน้าวัดนั้นใกล้กับทางเข้าที่พักที่ทางบริษัทจัดให้ในตอนแรกนี่ ผมนึกสงสัยคืนนั้นคงเมาแล้วขับไปชนหมาเข้า

“แล้วมันเกี่ยวกันยังไง” ผมสงสัย

“ไอ้หงอกมันตายสิครับ”

“คุณอย่าบอกนะว่า หมามาหลอกคน”

“อาจจะก็ได้ ผมว่านะ มีคนเห็นไอ้หงอกมาป้วนเปี้ยนหน้าโรงแรมเรา ทั้งๆ ที่มันตายตั้งแต่คืนนั้นที่ฝรั่งคนนี้ขับรถชน”

ทันใดนั้นเอง ฝรั่งก็ผวาตื่น “มาแล้ว มันมาแล้ว ผมกลัว ช่วยผมด้วย” เขาตะโกนอีก

ผมจึงจัดการพาเขาไปโรงพยาบาล เล่าให้หมอฟัง หมอฉีดยาผ่อนคลายให้จนฝรั่งได้หลับไป รุ่งเช้าผมพาเขาไปทำสังฆทานให้ไอ้หงอก เขากึ่งเชื่อกึ่งกลัว แต่ก็ยอมทำแต่โดยดี

เขาเล่าให้ผมฟังว่า ไอ้หงอกมาหอนที่หน้าบ้านทุกคืน ยิ่งเวลาผ่านไปมันยิ่งเห่าหอนใกล้ที่พักมากขึ้นจนวันที่เขาต้องมานอนที่โรงแรม มันมาหอนถึงในห้องเลย แม้แต่มาพักที่โรงแรมมันก็ยังตามมาอีก

ฝรั่งต้องใช้ยานอนหลับต่ออีกพักใหญ่ จากนั้นฝรั่งคนนี้ก็เดินทางกลับประเทศของเขา ในใบลาออกเขาระบุว่า “ไม่สามารถทำงานได้ เพราะหมาหอนทั้งคืน”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน