“ณอร อ่องกมล”

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั่วทั้งโลกได้รู้จักกับ “ฮวาเหลียน” (ฮัวเหลียน) เมืองชายฝั่งภาคตะวันออกของไต้หวัน ไม่ใช่เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ขึ้นชื่อของเกาะ แต่จากเหตุธรณีพิโรธครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตประชาชนกว่า 17 ราย

สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทยเลยจัดทริปตะลุยฮวาเหลียนเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าเมืองชายฝั่งแห่งนี้ยังสวยงาม ปลอดภัย และเป็นหนึ่งในสถานที่ ปักหมุดที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต

ไม่พูดพร่ำทำเพลงพาบินลัดฟ้าจากประเทศไทยใช้เวลาบินแค่ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน ก่อนเดินทางต่อด้วยรถไฟขบวนพูโยม่า เอ็กซ์เพรสลงสุดทางที่สถานีฮวาเหลียน ใช้เวลาอีก 2 ชั่วโมง แต่เส้นทางนี้บอกเลยว่าต้องลอง เพราะจะได้สัมผัสกับวิวทิวทัศน์สวยงามสองข้างทาง

มองเพลินๆ จากตึกรามบ้านช่องในเมืองใหญ่ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทุ่งนา สวนผักผลไม้เขียวขจี

และที่เป็นไฮไลต์สุดๆ คือ ช่วงที่รถไฟฉึกฉักลัดเลาะริมชายฝั่งแบบเลียบชิดติดมหาสมุทรแปซิฟิก แม้จะเป็นขบวนรถไฟปรับอากาศ แต่ทันทีที่ได้เห็นแสงระยิบวิบวับของผืนน้ำสีคราม ก็เหมือนมีลมทะเลสดชื่นพัดกระทบใบหน้า ชวนให้มโนไปว่ากำลังดำดิ่งโต้คลื่นอยู่ในสายน้ำเย็นสดชื่น ยังไม่ทันขึ้นมาเล่นทรายบนชายหาดก็ต้องตื่นจากฝันกลางวันเบาๆ เพราะถึงที่หมาย

แม้จะแอบถอนใจเบาๆ เพราะกำลังเคลิ้ม แต่กลับยิ้มอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยการต้อนรับแสนอบอุ่นของชนเผ่าเมืองฮวาเหลียน และระบำท้องถิ่นกับจังหวะสนุกสนาน พูดถึงชนเผ่าก็ขอแทรกด้วยข้อมูลน่ารู้ดีกว่า ฮวาเหลียนมีชนเผ่า 1 ใน 4 ของประชากรทั้งเมือง คิดเป็นราวๆ 9,000 คน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในไต้หวัน

ชนเผ่าหลักมีด้วยกัน 6 เผ่า คือ ชนเผ่าอาเมย ไท่หย่า ปู้หนง ไซ่ฉีไหลหย่า เก๋อหม่าหลาน และไท่หลู่เก๋อ หรือทาโรโกะ

นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลจากญี่ปุ่นในสมัยที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครองจีนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฏให้เห็นผ่านลักษณะบ้านเรือน การใช้ชีวิตที่เป็นระเบียบเรียบร้อย รวมถึงการใช้ภาษาแบบผสมผสาน ซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมเหล่านี้ทำให้ฮวาเหลียนเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์น่าค้นหาอย่างไม่ต้องสงสัย

เม้าธ์มอยจนลืมเวลา นั่งรถไปตามทางถนนหลวงจงเหินที่มุ่งหน้าสู่ภูเขากับเส้นทางเขียวชอุ่ม และเลี้ยวหักศอก 4-5 รอบ รวมแล้วประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงยังอุทยานแห่งชาติทาโรโกะ

ทาโรโกะเป็นหุบเขาและผาหินอ่อนที่เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำหลีอู้เมื่อกว่า 200 ล้านปีก่อน มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 920 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมเมืองหนันโถว ไถจง และฮวาเหลียน มียอดเขาสูง 27 ยอด และสูงสุดอยู่ที่ 3,742 เมตร

ภายในอุทยานทาโรโกะมีหลายเส้นทางให้เลือกเดินตามอัธยาศัย เริ่มตั้งแต่ “เหยียนจื้อกั๋ว” หรือ “อุโมงค์นกนางแอ่น” ระยะทาง 1.37 กิโลเมตร ลัดเลาะผ่านบริเวณก้นแม่น้ำที่ลึกและแคบเป็นพิเศษ เหมาะกับการดูความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่เห็นได้ชัดเจนจากลวดลายสวยงามแปลกตาของผาหินที่ถูกน้ำกัดเซาะ

ระหว่างทางมีจุดชมวิวขึ้นชื่อของหินรูปใบหน้าหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง เส้นทางนี้อยู่ใกล้ๆ กับ “ที่ราบปู้โล่ววัน” เป็นที่ราบกว้างบนเนินเขา ตั้งชื่อตามความหมายในภาษาชนเผ่าไท่หลู่เก๋อซึ่งแปลว่าเสียงก้องจากหุบเขา และยังมีโรงแรมหมู่บ้านทาโรโกะ ห้องพักสไตล์ชนเผ่าที่มีขุนเขา แมกไม้ และสายหมอกโอบล้อม

ส่วนเส้นทางอื่นๆ มี “อุโมงค์เก้าโค้ง” ทางคดเคี้ยวของอุโมงค์ที่ผ่านภูเขาหินอ่อนขนาดใหญ่ กับแม่น้ำหลีอู้ซึ่งไหลเชี่ยวอยู่ด้านล่าง ระยะทาง 1.9 กิโลเมตร และใช้เวลาเดิน 40 นาที ขณะที่เส้นทาง “ฉางชุน” ความยาว 1.35 กิโลเมตร มุ่งหน้าสู่ศาลฉางชุน ศาลรำลึกถึงทหาร 226 นาย ที่เสียชีวิตขณะก่อสร้างทางหลวงเซ็นทรัล ครอส-ไอส์แลนด์ เส้นทาง “หลูชุ่ย-เหอหลิว” เป็นทางที่เดินสบายที่สุด

เนื่องจากอยู่บนถนนเดิมที่สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงญี่ปุ่นยึดครอง มีต้นไม้ใหญ่เป็นระยะๆ ความยาว 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 45 นาที และเส้นทาง “น้ำตกไป่หยาง” เดินตามอุโมงค์ที่ทอดยาว 380 เมตร และเดินต่ออีกเกือบ 2 กิโลเมตรก็จะเจอกับน้ำตกไป่หยาง เส้นทางนี้เหมาะกับการศึกษาสภาพทางธรณีวิทยาของหินผาและสิ่งแวดล้อม โดยรอบ

ลงเขาแล้วแวะไปชมความงามของมวลดอกไม้สีสันสวยสดที่ “ต้าหนงต้าฝู ฟอเรสต์ พาร์ก” ในเขตกวงฝู ระหว่างถนนหลวงสาย 9 และสาย 193 สวนขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 7,800 ไร่ โดยในส่วนทุ่งดอกไม้ มีดอกไม้นานาพันธุ์กว่า 20 ชนิดบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ภายในสวนแห่งนี้ผู้เข้าชมยังสามารถขี่จักรยานเที่ยวเล่น หรือจะเดินชิลชิล ชมความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศกับสารพัดพันธุ์ไม้ รวมถึงสัตว์ชนิดต่างๆ ทั้งผีเสื้อ กบ และนก อาทิ นกกระทาป่าไผ่ และนกแซงแซวหางปลา นอกจากนี้ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนจะมีเทศกาลชมหิ่งห้อยที่จะเปล่งแสงวิบวับสวยงามตระการตาไปทั่วทั้งสวน

จากแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อีกสิ่งที่เมืองฮวาเหลียนภูมิใจคือเป็นที่ตั้ง “มูลนิธิฉือจี้” ของธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ซึ่งดำเนินการมาแล้วกว่า 52 ปี ด้วยหลักทำงานที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสังคม ได้แก่ งานการกุศล งานการแพทย์ งานการศึกษา และงานด้านมนุษยธรรม

ในเหตุแผ่นดินไหวที่ผ่านมา อาสาสมัครจากมูลนิธิฉือจี้ได้ลงแรงและกำลังทรัพย์ช่วยเหลือทั้งผู้ประสบภัย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยกู้ภัยที่ปฏิบัติภารกิจ ไม่เพียงเท่านี้มูลนิธิฉือจี้ยังช่วย เหลือเด็กๆ ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียในตุรกี และเด็กๆ ที่ยากไร้อีกจำนวนมากในแอฟริกา

จึงไม่แปลกที่หลังเกิดแผ่นดินไหว เด็กๆ ชาวซีเรียและแอฟริกันจะร่วมใจเรี่ยไรเงินบริจาค และสวดภาวนาเพื่อให้ชาวเมืองฮวาเหลียนปลอดภัย นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมเยือนมูลนิธิฉือจี้เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา งานของธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน และเปิดมุมมองไปกับแนวคิดการใช้ชีวิตอยู่อย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าส่วนตน

ด้าน ดร.ถง เจิ้นหยวน ผู้แทนรัฐบาล สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทย ที่ร่วมเดินทางไปด้วยในครั้งนี้กล่าวว่ากว่าร้อยละ 90 ของเมืองฮวาเหลียนขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว พอเกิดแผ่นดินไหวนักท่องเที่ยวเลยหวาดกลัวและหายไปจากฮวาเหลียน แม้แหล่งท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดจะไม่ได้รับผลกระทบก็ตาม ฮวาเหลียนมีภูเขา ป่าไม้ และธรรมชาติที่โดดเด่น เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่แค่หนุ่มสาวแบกเป้เดินเขา

แต่ยังรวมถึงครอบครัวที่จะมาปิกนิก ทำกิจกรรม ปั่นจักรยาน หรือแค่ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน และผู้สูงอายุที่สามารถเลือกพักผ่อนในโรงแรม และรีสอร์ตมากมายตามความชอบ บางแห่งมีคลองขุดและบริการเรือชมวิว แค่อยู่ในรีสอร์ตก็เหมือนได้เที่ยวแล้ว

“ผมคิดว่าสิ่งที่จะได้จากการมาเที่ยวฮวาเหลียน คือ ความสงบ ความสุข และความสวยงาม ฮวาเหลียนเป็นแหล่งรวมของความงาม ผู้คนมีน้ำใจไมตรี วิวทิวทัศน์ที่วิจิตรตระการตา และสุดยอดอาหารชนเผ่า ฮวาเหลียนมีทุกองค์ประกอบที่หากจะเรียกว่าสวรรค์บนดินก็คงไม่เกินจริง”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน