เปิดนวัตกรรมอาหารเฉพาะโรคพร้อมทาน สำหรับผู้ป่วยโรคไต โรคมะเร็ง และกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง บริการออกแบบอาหารเฉพาะรายบุคคลโดยนักโภชนาการ ปรุงโดยเชฟมืออาชีพ ลดเค็มหวานมัน อร่อยเน้นๆตามหลักโภชนาการ เจาะกลุ่มไตเสื่อม ชูแนวคิด ‘กินอาหารเป็นยา ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร’
น.ส.ชลกานต์ วิสุทธิพิทักษ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรีน แอนด์ ออแกนิค จำกัด เผยว่า ปัจจุบันไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตสูงสุด มีผู้ป่วยไตเรื้อรังกว่า 11 ล้านคน และมีแนวโน้มฟอกไตเพิ่มขึ้นราว 50,000 คนต่อปี ขณะที่ผู้ป่วยไตระยะวิกฤตที่ต้องเข้าสู่กระบวนการฟอกไตมีถึง 82,463 คน ส่งผลให้ภาครัฐต้องใช้งบประมาณในการฟอกไตกว่า 12,271 ล้านบาทต่อปี
จึงเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท โดยศึกษาหาแนวทางป้องกันลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ และลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐอย่างยั่งยืนด้วยอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของคน ประกอบกับอัตราการเกิดโรคของผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อาหารเฉพาะโรคเฉพาะรายบุคคล มีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลาด Personalized Food ในกลุ่มผู้เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในประเทศไทย คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 5,869 ล้านบาท ภายในปี 2568 บริษัทจึงเล็งเห็นช่องว่างทางการตลาดและความต้องการที่สูงขึ้น จึงคิดค้นและพัฒนาสูตรอาหารเพื่อช่วยฟื้นฟูและชะลอความเสื่อมของไต ออกแบบอาหารโดยนักโภชนาการเฉพาะรายบุคคลตามผลเลือดและระยะของโรค ซึ่งนอกจากผู้ป่วยโรคไตแล้ว ยังให้บริการออกแบบอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง และกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอีกด้วย
สำหรับอาหารเฉพาะโรคเฉพาะรายบุคคลแบบพร้อมทาน จะเน้นอาหารไทยเป็นหลัก ใช้วัตถุดิบสดใหม่และตามฤดูกาล รวมถึงสมุนไพรไทยช่วยชูรสชาติ มีให้เลือกมากกว่า 200 เมนู โดยเมนูที่ได้รับความนิยมคือ ปลานึ่งซีอิ๊ว, แกงเลียง, ผัดบวบไข่ขาว, ผัดฉ่า และไข่ตุ๋นทรงเครื่อง ปัจจุบันมีผู้ป่วยใช้บริการออกแบบอาหารเฉพาะรายบุคคลพร้อมส่งถึงบ้านแล้วกว่า 60,000 มื้อต่อปี ซึ่งผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ โดยกลุ่มลูกค้าแบ่งเป็นผู้ป่วยโรคไต 80% และผู้ป่วยโรคมะเร็ง เบาหวาน และโรคความดัน 20% ในจำนวนนี้เป็นลูกค้าต่างจังหวัด 70% และ 30% เป็นลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ
ผู้บริหารกรีน แอนด์ ออแกนิค กล่าวต่อว่า นอกจากอาหารเฉพาะโรคพร้อมทานแล้ว บริษัทยังมีผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับคนทั่วไปที่ควบคุมปริมาณโซเดียม ลดหวานมันเค็ม เพื่อป้องกันการเกิดโรคไต แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.อาหารเพื่อสุขภาพพร้อมทานและขนมเพื่อสุขภาพ อาทิ ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่น, มัสมั่นไก่, กะเพราไก่, พะแนงไก่, แกงเขียวหวานไก่, คุกกี้ไข่ขาว, ขาไก่รสพิซซ่า และขนมเปี๊ยะไส้มะตูม
2.เครื่องปรุงรส และน้ำจิ้มลดโซเดียม 60-90% อาทิ น้ำปลา, ซีอิ๊วขาว, ซอสหอย, น้ำจิ้มสุกี้, น้ำจิ้มซีฟู้ด, ซอสพริกไทยดำ และซอสเทอริยากิ และ 3.อาหารแห้งโซเดียมต่ำ อาทิ โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป, น้ำพริกสมุนไพร, น้ำพริกปลากระพงหยอง, น้ำพริกปลาผัดฉ่า และน้ำพริกนรกปลาย่าง
น.ส.ชลกานต์ ยังกล่าวถึงแผนธุรกิจในปี 2567 ว่า มุ่งเน้นความร่วมมือกับภาครัฐผลักดันนโยบายให้หมอจ่ายอาหารเป็นยา โดยเป็นอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานเพื่อปรับพฤติกรรมการบริโภคและปรับให้เคยชินกับรสชาติอาหารโซเดียมต่ำ ลดหวานมันเค็ม อีกทั้งยังต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ และขยายตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ และเครื่องปรุงรส ไปยังประเทศแถบตะวันออกกลางในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ด้วย
นอกจากนี้ยังร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมทำงานวิจัยและผลักดันเรื่องการลดอัตราผู้ป่วยโรคไต โรคมะเร็ง และกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทย อาทิ ความร่วมมือกับโรงพยาบาลหลายแห่ง ได้แก่ ร.พ.กรุงเทพ, พญาไท, เปาโล, สินแพทย์, เกษมราษฎร์, บางปะกอก, วิชัยเวช และสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ บริการตู้กดอาหารเพื่อสุขภาพ และให้บริการอาหารลดโซเดียม พร้อมส่งถึงบ้าน,
ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา นำเสนอร่างนโยบายป้องกันก่อนรักษา เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายการรักษาของประเทศ โดยนำเสนอนโยบายให้หมอสั่งอาหารสุขภาพแล้วเบิกได้เหมือนยา ให้ประชาชนกินอาหารเป็นยา ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร,
ความร่วมมือกับโรงเรียนแพทย์ วิจัยผลของการบริโภคลดเค็ม ต่อการทำงานของไต กับคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และการจัดโภชนคลีนิคสัญจร บริการนักโภชนาการประจำสำนักแพทย์ ให้กลุ่มข้าราชการรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ
#กรีนแอนด์ออแกนิค #Green&Organic #อาหารเฉพาะโรค #กินอาหารเป็นยา #อาหารผู้ป่วยไต