พลันที่เปิดราคามาก็เรียกเสียงครางฮือให้กับกลุ่มนักเลงรถสปอร์ต SUV หรูได้อย่างกระหึ่ม ด้วยราคาที่ปอร์เช่ เคาะมากับรุ่นคาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ (Cayenne S E-Hybrid Coupe) ใหม่ SUV ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่ 6.29 ล้านบาท มันช่างเร้าใจเสียจริงๆ
เพื่อให้รับรู้ถึงสมรรถนะที่ยังคงความสปอร์ตไว้เต็มเปี่ยม ไม่ได้มีดีแค่เพียงราคา ผู้บริหาร ‘มาร์ค’ ธนบดี กุลทล ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ปอร์เช่ ประเทศไทย โดยเอเอเอส กรุ๊ป จัดให้ผู้สื่อข่าวสายยานยนต์ได้ทดสอบสมรรถนะในแบบเช้าไปเย็นกลับ เลือกเส้นทางกันเองคันละ 2 สื่อ
เริ่มสตาร์ตกันที่สำนักงานใหญ่ เอเอเอส กรุ๊ป ย่านหลักสี่ ตกลงกันกับน้องร่วมคันมุ่งหน้าไป อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ระยะทางไป-กลับประมาณ 140 ก.ม. แม้จะดูไม่มากแต่ได้ทดสอบกันทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะรถติดในเมือง ทำความเร็วปลายบนทางโล่งๆ หรือจะลัดเลาะทางโค้งในเส้นทางรอง
ขาไปอาสาไปนั่งข้างหลัง เบาะหนานุ่มนั่งสบาย แม้จะเป็นรถสไตล์คูเป้แต่ด้านท้ายที่ลาดลงยังมีพื้นที่เหนือศีรษะอยู่พอประมาณ
แต่ด้วยเบาะหน้าที่มีขนาดใหญ่ แถมยังเป็นทรงสปอร์ต บังพื้นที่ด้านหน้าแทบมิด ดีว่ากระจกประตูกว้างขวาง รวมถึงยังมีพาโนรามิก รูฟ หลังคากระจกพาดยาวเต็มบาน ช่วยคลายความอึดอัดได้เป็นอย่างดี
ช่วงล่างนุ่มนวลด้วยระบบช่วงล่างแบบถุงลม แรงเหวี่ยงแทบไม่มีให้ได้รู้สึก แม้ว่าน้องนักทดสอบจะทำความเร็วสูง หรือเปลี่ยนเลนกะทันหัน
เลือกความเย็นของแอร์ด้วยระบบควบคุมอุณหภูมิแยก 4 โซน เครื่องฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร เบาะนั่งไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่งสำหรับเบาะผู้โดยสารด้านหลัง
ถึงปลายทางก่อนสลับมาเป็นคนขับบ้าง มีเวลาเดินพินิจพิจารณารอบคัน ดีไซน์ภายนอกบึกบึน ดุดัน ดูทรงพลัง ตามบุคลิกรถ SUV พันธุ์แท้ แต่ยังแฝงความสปอร์ตจากหลังคาลาดลงด้านท้าย
ไฟหน้าแบบ HD Matrix LED ดีไซน์ใหม่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โมดูลความละเอียดสูง 2 ชุด และพิกเซลกว่า 32,000 พิกเซลต่อโคม เพิ่มทัศนวิสัย และความปลอดภัยยามค่ำคืน ล้ออัลลอยลาย คาเยนน์ (Cayenne) ขนาด 20 นิ้ว สีเทา Vesuvius Grey ให้ทั้งความสปอร์ตและหรูหราในคราวเดียวกัน
ภายในเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งพวงมาลัย GT Sports มัลติฟังก์ชัน พร้อมแพดเดิล ชิฟต์ เพื่อเปลี่ยนเกียร์แบบแมนวล และแพ็กเกจ Sport Chrono พร้อมนาฬิกา Porsche Design ให้ความรู้สึกถึงความหรูหรา และคลาสสิคไปในตัว
เบาะหนังมีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ หรือ สีแดงบอร์โด (Bordeaux Red) พร้อมตราสัญลักษณ์ปอร์เช่บนพนักพิงศีรษะที่เบาะคู่หน้า
หน้าจอแสดงข้อมูลดิจิตอลแบบโค้งมนขนาด 12.6 นิ้ว ใหญ่และชัดเจนเต็มตา หน้าจอระบบ Infotainment ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อครบครัน
แผงควบคุมระบบปรับอากาศบริเวณคอนโซลกลาง มาพร้อมปุ่มกดขนาดใหญ่ ใช้งานง่ายไม่ต้องเอื้อม พร้อมสวิตช์ปรับอากาศแบบหมุน และปุ่มปรับระดับเสียงแบบสัมผัส
ขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับ ก่อนออกจากจุดสตาร์ต แบตเตอรี่มีไฟฟ้าอยู่ 95% วิ่งได้ระยะทาง 71 ก.ม. รับไม้ต่อจากระยะทางที่วิ่งไปแล้ว 86 ก.ม. แต่สุดท้ายกว่าไฟฟ้าจะหมดวิ่งไปได้ 93 ก.ม. มากกว่าสเป๊กที่แจ้งไว้ว่าวิ่งได้ 90 ก.ม. น่าจะเพราะผ่อนเท้าบ่อย ทำให้ปั่นไฟกลับเข้ามาพอสมควร
กำลังของเจ้าปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป้ มีมาให้เหลือเฟือ จากเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ 3.0 ลิตร ให้กำลัง 353 แรงม้า เมื่อผสมผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่ ส่งผลให้ระบบมีกำลังรวม 519 แรงม้า เพียงพอที่จะนำพาตัวรถที่แม้รูปร่างใหญ่โตให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแม้จะอยู่ในโหมดไฮบริดก็ตาม
เจอกับทางโล่งๆ หน้าศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ไม่รอช้าปรับเป็นโหมดสปอร์ต เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มขึ้น พร้อมกับความแรงที่มาตามน้ำหนักเท้าในทันที กดลงไปครั้งเดียวเข็มไมล์วิ่งทะลุ 200 ก.ม.ต่อช.ม.แบบไม่มีรั้งรอ และรอรอบ
ลองขยับไปเป็นโหมดสปอร์ตพลัส ความแรงของเครื่องยนต์ดุดันขึ้นไปอีก แต่โหมดนี้ต้องควบคุมให้ดี เพราะอาการราวกับม้าดื้อไม่มีผิด แตะนิดแตะหน่อยตัวรถพุ่งไปข้างหน้าแทบไม่ทันตั้งตัว
ขับตามเนวิเกเตอร์ให้ลัดเลาะเข้าถนนรอง มีทางโค้งต่อเนื่อง ทำให้เห็นถึงความคล่องตัวและการควบคุมพวงมาลัยที่สั่งได้ดังใจ รวมถึงความหนึบแน่น ไม่มีอาการหน้าดื้อท้ายดิ้นให้ได้รู้สึกเลยแม้แต่น้อย
กลับเข้าเมืองบน ถ.วิภาวดีรังสิต เจอเพื่อนร่วมทางหนาตาพอควร ต้องอาศัยหลบหลีกซ้าย-ขวา อาศัยความแรงเร่งแซงได้ทันใจ
กลับถึงเอเอเอส กรุ๊ป ทดสอบกันไปรวมทั้งสิ้น 139.4 ก.ม. น้ำมันในถังวิ่งได้อีก 532 ก.ม. อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 19.2 ก.ม.ต่อลิตร แต่ตรงนี้ถัวเฉลี่ยกับที่วิ่งไฟฟ้ามา 93 ก.ม.แล้วด้วย
ใครที่ขับในชีวิตประจำวันไม่เกิน 100 ก.ม.เรียกว่าแทบไม่ต้องใช้น้ำมัน ส่วนถ้าจะออกต่างจังหวัดก็พร้อมเดินทางด้วยน้ำมันได้ตลอดเส้นทาง
แวะไปสัมผัสและทดลองขับได้ที่โชว์รูมปอร์เช่ทั้ง 4 แห่งได้แล้ววันนี้
กิตติพงศ์ ศรีเจริญ