ท่องสุโขทัย เที่ยวสายกิน
ท่องสุโขทัย เที่ยวสายกิน – “สุโขทัย” นอกจากเป็นแหล่งโบราณสถาน โบราณคดีระดับมรดกโลกทางวัฒนธรรม ยังอุดมไปด้วยอาหารของกินมากมาย เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวเชิงอาหาร หรือนักเที่ยวสายกิน
เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ยกคณะไป จ.สุโขทัย พร้อมกับจัดกิจกรรมการสร้างความรับรู้การท่องเที่ยวเชิงอาหาร และทดสอบเส้นทางอาหารที่สุโขทัย
นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผอ.อพท. กล่าวว่า ร่วมกับสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย ดำเนินโครงการการพัฒนาต่อยอดการ ท่องเที่ยวเชิงอาหาร ด้วยการใช้ตลาดเชิง กลยุทธ์และการมีส่วนร่วม
โดยเลือก จ.สุโขทัย เป็นต้นแบบดำเนินโครงการ นำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาการท่องเที่ยว และสร้างการเชื่อมต่อกับผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทนำเที่ยว ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ตลาด และสามารถนำไปขายในตลาดท่องเที่ยวได้จริง
ปัจจุบันการท่องเที่ยวเชิงอาหารได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนในชุมชน โดยมีอาหารเป็นปัจจัยหลักในการสร้างประสบการณ์ผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ
เมื่อมาถึง “โข้ทัย” (สำเนียงคนท้องถิ่น) ก็ต้องนั่ง “รถคอกหมู” รถประจำทางโดยสารของคนถิ่นนี้กัน หน้าต่างเปิดรับลม 360 องศา นั่งให้ลมปะทะหน้ากันแบบนันลิมิต
ที่มาของชื่อคอกหมูนี้มาจากคำว่า “หมู่คณะ” แต่ด้วยสำเนียงเสียงเหน่อของคนที่นี่ คำว่า “หมู่” จึงกลายเป็น “หมู” ส่วนคำว่า “คอก” เป็นลักษณะรถที่บรรทุกไปกันได้หลายๆ คน และหน้าต่างเป็นช่องๆ คล้ายคอกสัตว์ จึงหลอม ละลายกลายเป็น “รถคอกหมู” ในทุกวันนี้
อุ่นเครื่องทริปกินกันด้วยการชมโรงต้มเหล้าในชุมชน ภูมิปัญญาที่สืบทอดมาแบบรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันพัฒนาสูตรให้มีมาตรฐาน กลายเป็นแหล่งรายได้ให้ครัวเรือนและชุมชน
เด็ดตรงที่การทำ “ลูกแป้ง” หรือหัวเชื้อยีสต์สำหรับหมักกับข้าวเหนียว โดยนำข่า กระเทียม พริกแดง พริกไทย ขิง ขมิ้น ฯลฯ มาตำคลุกกับข้าวเหนียว ปั้นเป็นก้อนทิ้งไว้ 2-3 วันให้เชื้อเพาะตัว
จากนั้นนำไปหมักกับข้าวเหนียว ต้มกลั่นออกมาเป็นสุราพื้นบ้านคุณภาพดี เฉลี่ยความแรงอยู่ที่ 40 ดีกรีเท่านั้น นุ่มๆ หอมๆ ใส่ผสมกับน้ำผลไม้กลายเป็นค็อกเทลดื่มแบบเก๋ๆ ได้
ดื่มกันเสร็จแล้ว หากใครเลือกปั่นจักรยานก็ได้ โดยลัดเลาะผ่านเส้นทางชุมชนที่อยู่รอบๆ อ.เมืองสุโขทัย เห็นวิถีชาวบ้านแบบใกล้ชิด เกาะกันไปเป็นขบวน ตามเส้นถนนลูกลังบ้าง คอนกรีตบ้าง
พีกสุดอยู่ที่การปั่นผ่านทุ่งนา มีชาวนากำลัง “ปั่นนา” เตรียมลงกล้าปลูก มี “เขาหลวง” เป็นภาพประกอบข้างหลัง ทีมนำเที่ยวบอกว่าหากฝรั่งเห็นแบบนี้ จะร้องอะเมซิ่ง ไม่วายจะหาเรื่องเอาตัวไปเปื้อนโคลน ขอลงไปช่วยดำนาด้วย
เดินทางมุ่งหน้าต่อไปที่ชุมชนหลังโรงหมู แหล่งผลิตปลาย่างรมควันขึ้นชื่อ ควันโขมง ลอยออกมาตามปล่อง ส่งกลิ่นปลาหอมๆ มาตามลม เมื่อเข้าไปก็พบกับแผงปลาจำนวนมาก ถูกย่างจนเนื้อเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองน่ากิน
เจ้าของบอกว่าเปิดตลาดส่งขายทั้งในและต่างประเทศ จนผลิตแทบไม่ทัน ปลาที่คนสุโขทัยนิยมนำมาทำปลาย่าง ได้แก่ ปลาสร้อย ปลาซิว ชะโอน ปลาช่อน และปลาดุก
โดยปลาใหญ่จะต้องผ่าแบะกลางตัวปลาย่างด้านหนังให้โดนไฟก่อนสัก 5-10 นาที เมื่อหนังเริ่มหด เอาถ่านออกเพื่อลดความร้อน แล้วกลับปลา ใช้ใบตองคลุมไว้เพื่อให้ความร้อนระอุทั่วตัวปลา หมั่นดูไฟและพลิกตัวปลา
เมื่อสุกแล้วให้เอาเศษฟาง หรือกากมะพร้าวใส่ลงไปในไฟ หากทำอย่างถูกวิธีแล้วจะเก็บได้นานเป็นปี โดยไม่มีหนอน หรือแมลงในตัวปลาเลย เป็นวิธีการถนอมอาหารของคนโบราณ
พระอาทิตย์เริ่มตก เข้าสู่โหมดการตั้งวงก๊งยาดอง ปรับอารมณ์กรึ่มๆ กันที่ร้าน Dream ร้านอาหารสไตล์แอนทีกอายุ 47 ปี มียาดองสูตรพิเศษกว่า 10 ชนิดให้เลือกลิ้มรส เจ้าของร้านบอกว่าวัตถุดิบทั้งหมดมาจากเขาหลวง ทั้งข้าวที่ใช้หมักเหล้า สมุนไพรหลากชนิด หรือน้ำผึ้งป่า ที่เก็บเกี่ยวตามฤดูกาล การันตีว่าออร์แกนิก 100 เปอร์เซ็นต์
เติมท้องกันด้วยอาหารมื้อหลักช่วงค่ำ บริเวณวัดราชธานี แหล่งรวมอาหารแนวสตรีตทั้งคาวหวาน ที่ร้านข้าวเหนียวเที่ยงคืน ข้าวเหนียวหลากหน้า ราคา 20 บาท ยังไม่พอก็ต่อกันด้วยร้านลุงจ้อย อาหาร ท้องถิ่นแบบบ้านๆ
เมนูเด็ดคือ ไข่ปลาหลน ปลาค้าวผัดพริกสด ดอกโสนผัดไข่ ปลาเนื้ออ่อนทอด ปลารากกล้วยทอดกรอบ ดอกโสนฉาบไข่ ผักต้ม กับน้ำพริกตาแดง วัตถุดิบทั้งหมดจะหมุนเวียนไปตามฤดูกาล
ต้องวางแผนแบ่งพื้นที่กระเพาะไว้ให้เมนูข้าวหมูโบราณ ร้านเรือนไทย สืบทอดสูตรมาจากห้องเครื่องในวังสมัยรัชกาลที่ 5 หมูหั่นชิ้นผัดไข่ ใส่ใบโหระพา รสชาติหวานนำ กินกับข้าวร้อนๆ เพอร์เฟ็กต์สุดๆ
สิ้นสุดด้วยขนมไทยที่ร้านกับข้าวกับปลา มีบรรยากาศ และรสชาติของขนม อบอุ่นอบอวลเหมือนอยู่บ้าน ขนมรสชาติไม่หวานมาก หอมกลิ่นควันเทียนอ่อนๆ จบท้ายค่ำคืนแบบสวยๆ กันไป ยังไม่หมดแค่นี้ สัปดาห์หน้ามาว่ากันต่อ